วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

15 พ.ค. 2552 สวัสดีจ๊ะ Anagrelide


เหตุที่ทำให้เราปรึกษากับหมอเพื่อตัดสินใจมาลองยา Anagrelide นั้น เราต้องขออนุญาตเล่าเรื่องราวย้อนไปเล็กน้อยนะคะ เนื่องจากห่างหายไปนานและเป็นเหตุที่สืบเนื่องกัน โดยจะขอย้อนไปเมื่อครั้งที่เราไปหาหมอวันที่ 16 ธ.ค. 2551

ครั้งนั้น ปริมาณเกล็ดเลือดอยู่ที่ 808,000 เม็ดเลือดขาวอยู่ที่ 4,900 หมอเพิ่มยา hydrea เป็นเช้าและเย็น มื้อละ 1 เม็ด แล้วบอกว่า คราวหน้าถ้าเกล็ดเลือดยังไม่ลด หมอคงต้องให้เปลี่ยนไปทานยาอีกตัว ซึ่งจะกดแต่เกล็ดเลือดอย่างเดียว แต่ปัญหาคือ ยาตัวนี้ ไม่อยู่ในบัญชียาหลัก ต้องจ่ายตังค์เอง (เราเคยบอกหมอว่า เรามีค่ารักษาพยาบาลซึ่งเป็นสวัสดิการของที่ทำงานอยู่จำนวนหนึ่ง ที่จะนำมาจ่ายค่ายาตัวนี้ได้) เราก็ อ่อค่ะ ถ้ายังไม่ลง ก็ลองดูค่ะ

ครั้งต่อมาวันที่ 13 ก.พ. 2552 ผลจากการเพิ่มยา hydrea ทำให้เกล็ดเลือดลดลงเหลือแค่ 377,000 เม็ดเลือดขาวลดเหลือ 3,200 ซึ่งตั้งแต่เรามีปัญหามา เกล็ดเลือดเราไม่เคยลงมาได้ต่ำขนาดนี้เลย หมอบอกว่า แต่เม็ดเลือดขาวก็ต่ำนะ เราเลยบอกหมอว่า เราเคยเม็ดเลือดขาวต่ำกว่านี้ แล้วเกล็ดเลือดไม่ได้ต่ำขนาดนี้เลย คราวนี้เราว่าเป็นค่าที่ดีที่สุดตั้งแต่เราป่วยมา หมอก็เลยลด hydrea เหลือวันละ 1 และ 2 เม็ด สลับวันกัน คือ หมออยากให้ทานวันละเม็ดครึ่งหนะ แต่มันเป็นยาแคปซูล ก็เลยต้องให้ทานแบบสลับวัน

ถัดมาอีกสองเดือน วันที่ 24 เม.ย. 2552 ผลจากการลดยา ทำให้เกล็ดเลือดเพิ่มขึ้นมาเป็น 493,000 เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นเป็น 3,500 ซึ่งการเพิ่มของเกล็ดเลือด ก็ยังอยู่ในระดับที่รับได้ แต่ได้เม็ดเลือดขาวเพิ่มมาน้อยมาก ซึ่งเราอยากให้เม็ดเลือดขาวเพิ่มมากกว่านี้อีกหน่อย ก็เลยปรึกษากับหมอเรื่องยาที่หมอเคยบอกไว้ ว่าจะกดเฉพาะเกล็ดเลือดอย่างเดียว และเรามีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลที่เหลือซึ่งจะนำมาจ่ายค่ายาได้ ก็เลยตกลงว่าหมอจะทำใบสั่งซื้อยาตัวใหม่ให้ ที่ต้องทำใบสั่งซื้อเพราะยาตัวนี้ ไม่มีสต๊อกไว้ในโรงพยาบาล ต้องสั่งซื้อเป็นกรณีพิเศษเท่านั้น ค่ายาเท่าที่คุยกับหมอก็ประมาณ 18,000 กว่าบาท หมอนัดอีกประมาณ 20 วัน

วันนี้ 15 พ.ค. 2552 เราตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง ทานอาหารเช้าเรียบร้อย ออกจากบ้าน 6 โมงกว่า ค่อนข้างทุลักทุเลเล็กน้อย เนื่องจากฝนตกตั้งแต่กลางคืนจนถึงเช้า ซึ่งตก ๆ หาย ๆ แบบนี้มา 3 วันแล้วค่ะ เดินลุยฝนแถมน้ำท่วมขังพื้นถนนอีกไปหน้าปากซอยเพื่อขึ้นรถ เดินไปก็นึกไป จะตกไรกันนักหนาเนี่ย กว่าจะถึงโรงพยาบาล 7 โมงครึ่ง

ถึงโรงพยาบาลก็รีบไปยื่นบัตรโรงพยาบาล แล้วไปรับรองสิทธิประกันสังคม ไปรับบัตรคิวเพื่อเจาะเลือด พอรับบัตรคิวมา แล้วมองลำดับที่กำลังเรียกเจาะตอนนี้ เรานึกในใจเลย โอ้โห ไรกันวุ้ย เราต้องรออีกเกือบ 200 คิว (ตอนนั้น เรียกลำดับที่ 220 กว่า ๆ แต่เราลำดับที่ 410) ไม่เป็นไร สู้ตาย อิอิ จากนั้นก็รีบไปยื่นบัตรนัดที่เคาน์เตอร์พยาบาลเพื่อรับบัตรคิวอีก งวดนี้ได้ลำดับที่ 291 จากนั้น ก็ต้องกลับไปรอเจาะเลือดค่ะ แต่เราใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ อิอิ เนื่องจากมาโรงพยาบาลนี้จนชำนาญทำให้เรารู้ว่า วันศุกร์มักจะมีตลาดนัด ซึ่งได้เงินเราประจำ เราก็เลยไปเดินช๊อปปิ้งก่อน

กลับจากช๊อปปิ้ง มาที่หน้าห้องเจาะเลือด ก็ยังต้องรออีก 100 กว่าคิว ก็เลยเอา notebook มาเล่นเน็ต อิอิ เราเริ่มชำนาญไงคะ รู้ว่าจะต้องคอยแต่ละจุดนานแค่ไหน ก็เล่นไปเรื่อย จนได้คิวเราล่ะ กว่าจะได้เจาะเลือด 9.15 น. วันนี้ป้าพยาบาลเจาะเจ็บได้ใจจริง ๆ ขอบอก

เจาะเลือดเสร็จ รีบมาที่เคาน์เตอร์พยาบาล เพื่อชั่งน้ำหนัก วัดความดัน จากนั้นก็รอพบหมอค่ะ บริเวณนั้นจะมีคนไข้และญาติคนไข้มารอเป็นจำนวนมาก หาที่นั่งยากมาก ๆๆๆๆๆ ที่แออัดคับแคบสุด ๆ แต่เราชินแล้วค่ะ บางทีไม่มีเก้าอี้นั่ง จนต้องไปนั่งรอตามขั้นบันได บางทีก็ต้องยืนจนกว่าจะมีเก้าอี้ว่าง สภาพการณ์เหมือนเก้าอี้ดนตรีหนะค่ะ วันนี้เราโชคดีได้ที่นั่ง ก็เปิด notebook เล่นเน็ตอ่านโน่นนี่ไปเรื่อย จนได้ยินเสียงพยาบาลประจำห้องหมอเรียกชื่อเรา เรามาจนจำเสียงพยาบาลได้แล้วค่ะ เข้าไปแล้วไม่ใช่ว่าจะได้พบหมอเลยนะคะ พยาบาลจะเรียกคนไข้ไปนั่งรอเรียงลำดับที่หน้าห้องหมอก่อนค่ะ เพื่อความรวดเร็ว กว่าเราจะได้พบหมอก็ประมาณ 10.40 น.

พอได้พบหมอ ก็ปรากฎว่า ผลเลือดเรายังไม่ออก แต่ไม่เป็นไร หมออธิบายเรื่องยาตัวใหม่ให้ฟังก่อนค่ะ ยาตัวนี้จะมีผลข้างเคียง 3 ข้อคือ

1. อาจทำให้มือและเท้าบวม เท้าอาจบวมจนถึงขนาดใส่รองเท้าไม่ได้
2. จากการที่บวม ก็จะทำให้น้ำหนักขึ้น ซึ่งถ้าขึ้นมา 1-2 กิโล หมอบอกว่า ไม่เป็นไร
3. ยาตัวนี้จะทำให้ความดันต่ำลง ฉะนั้นอาจเกิดอาการหน้ามืด วิงเวียน ใจหวิว ๆ

ซึ่งผลข้างเคียงทั้งหมด ถ้าทนไหวก็ให้ทานยาต่อไป แต่ถ้าไม่ไหว ให้หยุดยาทันที โดยหมอจะเริ่มยาที่วันละ 1 เม็ดก่อน จากนั้น จึงค่อยเพิ่มเป็นวันละ 2 เม็ด ถ้าหากร่างกายรับยาที่ 2 เม็ดไม่ไหว ก็ให้ลดมาเหลือแค่ 1 เม็ด แต่ถ้าร่างกายรับยาตัวนี้ไม่ไหว ก็ให้หยุดทานทันที แสดงว่าร่างกายรับยาตัวนี้ไม่ได้ หมอสั่งยาให้เราทั้งหมด 84 เม็ดตามค่ารักษาพยาบาลของที่ทำงานที่ยังเหลือ ซึ่งตอนนั้นหมอบอกว่า ให้กินยาตัวใหม่ควบคู่ไปกับ hydrea โดยหมอก็สั่ง hydrea ให้ด้วย หมอบอกว่า อยากให้งด hydrea แต่ขอดูผลเลือดก่อน

คุยกับหมอเรียบร้อย ผลเลือดก็ยังไม่ออกมา ก็ต้องออกมานั่งคอยที่หน้าห้องหมออีก ประมาณ 11 โมง พยาบาลเรียกอีก ผลเลือดมาแล้ว ก็เข้าไปพบหมออีกรอบ หมอบอกว่า เกล็ดเลือดขึ้นมานิดเดียว แทบไม่ขึ้น แต่เม็ดเลือดขาวเริ่มดี ก็ให้งดยา hydrea เลย รวมถึงยาอื่น ๆ ที่ยังเหลือ ตอนนี้ให้ทานยาตัวนี้เท่านั้น

ออกจากห้องหมอ ก็ต้องมายื่นใบสั่งยาเพื่อชำระเงิน ที่ผ่านมาไม่เคยชำระเองเลยค่ะ ใช้สิทธิประกันสังคมมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่ชำระเงินกับโรงพยาบาลนี้เลยค่ะ ค่อนข้างงงกับขั้นตอนเล็กน้อย แต่ที่นี่จะมีเจ้าหน้าที่ใส่ชุดสีชมพูเพื่ออำนวยความสะดวกและคอยแนะนำขั้นตอนต่าง ๆ อยู่ประจำแต่ละจุด เพื่อเราจะได้ไม่ต้องไปถามพยาบาล เราก็ดำเนินการตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่จนมารอรับยา ประมาณ 12.15 น. ได้รับยา ยาขวดนิดเดียว 18,819 บาท โห ถ้าหล่นน้ำไปสักเม็ดนะ ร้องไห้แน่เลย ตั้ง 220 บาท อิอิ

วันนี้เหน็ดเหนื่อยมาก กว่าจะถึงบ้านประมาณบ่ายสองโมง ฝนตก ๆ หาย ๆ ตลอด หิวก็หิว ยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันเลย เพราะทุกครั้งเราใช้สิทธิประกันสังคม ขั้นตอนจะน้อยกว่าจ่ายเอง แค่ไปยื่นใบสั่งยาช่องสิทธิประกันสังคม แล้วก็ไปทานข้าวได้ เพราะตรงนั้นจะใช้เวลาเกือบชั่วโมง แต่วันนี้ต้องไปคิดราคายา ไปจ่ายเงิน แล้วถึงจะมารอยา แล้วเราก็ไม่รู้ว่าการรอยาสำหรับคนไข้จ่ายเงินเองจะใช้เวลาแค่ไหน เผื่อจะเร็ว (อันนี้แอบหวัง) เพราะอยากกลับบ้านเต็มทีค่ะ ฝนก็ตกไม่เลิก ไม่อยากตากฝนออกไปเปียกอีก สรุปแล้ว ใช้เวลาไม่ต่างกัน แล้วยังไม่ได้ทานข้าวอีก อิอิ เฮ้อออ....เหนื่อยค่ะ

เว็บบอร์ด โรคเกล็ดเลือดสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ http://et.it-2u.com/

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

อีกหนึ่งข้อมูลจาก cancerbackup.org.uk โดย LunaticNeko


ที่มา
http://www.cancerbackup.org.uk/Aboutcancer/Pre-cancerousconditions/Essentialthrombocythaemia

เกล็ดเลือดสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ
(Essential thrombocythaemia / ET)

ET เรียกอีกอย่างว่า primary thrombocythaemia อยู่ในกลุ่มโรคไขกระดูกสร้างเซลล์มากผิดปกติเรื้อรัง (chronic myleoprofilerative diseases / CMPDs)

โรคไขกระดูกสร้างเซลล์มากผิดปกติเรื้อรังโรคไขกระดูกสร้างเซลล์มากผิดปกติเป็นกลุ่มอาการที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของไขกระดูก เกิดจากการผลิดเซลล์เม็ดเลือดชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป นอกจากนี้ CMPD อาจพัฒนาไปเป็นลูคีเมีย (leukaemia) ได้

ประเภทหลักๆ ของ CMPD:
- เกล็ดเลือดสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ (essential thrombocythaemia)
- เซลล์เม็ดเลือดแดงสูง (polycythaemia vera)
- เกิดพังผืดในไขกระดูก (chronic idiopathic myelofibrosis)

โรคลูคีเมียชนิด CML (Chronic myeloid leukaemia) ก็เป็นโรคประเภท CMPD ด้วย แต่มักถูกแยกออกไปเป็นกรณีอื่น

ไขกระดูก
ไขกระดูกเป็นเนื้ออ่อนในส่วนกลางของกระดูก ซึ่งจะสร้างเซลล์ประเภท "สเต็มเซลล์" (stem cells) โดยเซลล์เหล่านี้เป็นเซลล์ที่สามารถพัฒนาต่อไปเป็นเซลล์เลือดได้สามชนิด:
- เซลล์เม็ดเลือดแดง (Red blood cells) มีหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนไปทั่วร่างกาย
- เซลล์เม็ดเลือดขาว (White blood cells) มีหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันและทำลายสิ่งแปลกปลอม
- เกล็ดเลือด (Platelets) ช่วยให้เลือดแข็งตัว เป็นการห้ามเลือด

เกล็ดเลือดสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ
โรคเกล็ดเลือดสูงโดยไม่ทราบสาเหตุเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อเซลล์ไขกระดูกที่สร้างเกล็ดเลือด โรคนี้เกิดกับใครก็ได้ แต่มักไม่ค่อยเกิดกับคนที่อายุต่ำกว่า 50 ปี ยังไม่ทราบการเกิดโรค ในบางท่านที่มีความผิดปกติของยีนส่วนที่เรียกว่า JAK2 อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคนี้ได้ ดังนั้น การตรวจหาความผิดปกติของ JAK2 จะช่วยให้วิเคราะห์อาการได้ง่ายขึ้น

อาการ
อาจไม่แสดงอาการอะไรเลย แต่ตรวจเลือดปกติแล้วพบว่ามีเกล็ดเลือดสูง

เกล็ดเลือดสูงจะทำให้เลือดแข็งตัวง่าย เกิดอาการเลือดไหลผิดปกติ (abnormal bleeding) เนื่องจากเกล็ดเลือดมีสภาพไม่สมบูรณ์ ทำงานไม่ได้

ในบางกรณีอาจเกิดการแข็งตัวของเลือด (thrombosis) ในหลอดเลือดดำ (vein) ซึ่งการแข็งตัวนี้เกิดได้ง่ายกับคนอายุ 60 ขึ้นไป คนที่เคยเป็นมาก่อนก็อาจเป็นซ้ำได้ด้วย อาการที่เกิดขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เลือดแข็งตัว
- ขา ทำให้ปวดขา บวม ร้อน แดง (เรียกว่า deep vein thrombosis / DVT)
- สมอง ทำให้ปวดหัว วิงเวียน ในบางกรณีอาจร้ายแรงกว่านั้น เช่น หน้ามืด หรืออาการ TIA (transient ischaemic attacks [mini-strokes])
- หัวใจ ทำให้เจ็บหน้าอก และอาจรุนแรงถึงขั้นหัวใจล้มเหลว
- ปอด ทำให้เจ็บหน้าอก หายใจไม่สะดวก เรียกอาการนี้ได้ว่า pulmonary embolism

อาการเลือดออกผิดปกติก็มีได้ แต่ไม่ค่อยเกิด เช่น:
- เลือดกำเดาไหล
- ช้ำ
- เลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ- เลือดออกตามไรฟัน
หากเกิดอาการใดๆ กับท่าน กรุณาปรึกษาแพทย์หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเลือด (haematologist)

การดูแลรักษา
เป้าหมายของการดูแลคือต้องควบคุมจำนวนเกล็ดเลือดและลดความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด เลือดไหลผิดปกติ หรืออาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน คนที่เป็น ET ที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจะไม่แตกต่างจากคนอื่นๆ มากนัก

ถ้าตรวจพบ ET แต่ไม่เกิดปัญหา ก็ไม่ต้องทำอะไร แต่หมอจะเป็นคนตรวจและแจ้งถ้ามีปัญหา

แอสไพริน ใช้ควบคุมการรวมตัวของเกล็ดเลือด จึงป้องกันไม่ให้หลอดเลือดอุดตันได้ แต่ไม่ช่วยลดเกล็ดเลือด ผลข้างเคียงคือจะเพิ่มความเสี่ยงของเลือดออกและโรคกระเพาะ ถ้าต้องใช้แอสไพรินเพื่อแก้ปวดควรเปลี่ยนเป็นพาราเซตามอลแทน

เคมีบำบัด (Chemotherapy) ใช้สารยับยั้งมะเร็งในการทำลายเซลล์มะเร็ง ซึ่งสารนี้ถูกนำมาใช้ลดเกล็ดเลือดได้

ยาที่ใช้เป็นปกติคือ hydroxyurea เป็นยาเม็ด อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเล็กน้อยเช่นโลหิตจาง คลื่นไส้ ติดเชื้อในช่องปาก ท้องร่วง และภูมิคุ้มกันต่ำ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดผลกระทบกับการมีลูก ดังนั้นผู้ที่กิน hydroxyurea ไม่ควรมีบุตร (ไม่ว่าแม่หรือพ่อ) เนื่องจากจะทำให้เกิดความเสี่ยงกับตัวอ่อนได้ ถ้าใช้ยานี้อย่างต่อเนื่องอาจทำให้ ET กลายเป็น leukemia ได้

ยาอีกตัวคือ busulfan ซึ่งเป็นเม็ดหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ให้ผลข้างเคียงคล้าย hydroxyurea

Interferon-alpha Interferon เป็นโปรตีนที่เกิดขึ้นปกติในร่างกาย แต่ทำเป็นยาก็ได้ โดยยานี้จะไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันและลดการก่อตัวของเกล็ดเลือด ใช้ฉีดใต้ผิวหนังสามครั้งต่อสัปดาห์ ทำให้เกิดอาการป่วยเช่นอ่อนเพลียมาก วิงเวียน

Anagrelide ลดเกล็ดเลือดโดยเฉพาะ เป็นแคปซูล ทำให้ปวดหัว รู้สึกหัวใจเต้นเร็ว (palpitations) ยังไม่พบผลกระทบต่อการมีลูกหรือการพัฒนาไปเป็นลูคีเมีย บทบาทของยานี้ยังไม่ชัดเจนและยังใช้ในสหราชอาณาจักรไม่ได้ ดังนั้น การจะใช้ได้ต้องทำเป็นการทดลองยาและต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์เท่านั้น

ฟอสฟอรัสกัมมันตรังสี (Radioactive phosphorus / 32P) อาจนำมาใช้รักษา ET ได้ โดยฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ซึ่งจะไปส่งผลกระทบกับไขกระดูก ลดจำนวนเกล็ดเลือด

ทั้งนี้ หากมีข้อสอบถามใดๆ ควรถามแพทย์หรือพยาบาล

การทดลองทางคลินิก (Trials)
การวิจัยหาทางรักษา ET ยังมีอยู่เรื่อยๆ

ในสหราชอาณาจักรมีการทดลองอยู่สองแนวทาง
แนวทางแรกใช้แต่แอสไพริน และแอสไพรินกับ hydroxyurea

อีกแนวทางหนึ่งมีชื่อว่า MRC PT1 ใช้
- แอสไพริน กับ แอสไพริน + hydroxyurea
- แอสไพริน + hydroxyurea และ แอสไพริน + anagrelide

ท่านอาจถูกขอให้ร่วมการทดลองด้วย
ก่อนจะเริ่มทดลองได้ต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมก่อน ซึ่งจะรักษาผลประโยชน์ของผู้ร่วมทดลองทุกฝ่าย ก่อนจะเริ่มการทดลอง แพทย์จะต้องคุยเรื่องนี้กับท่านก่อนเพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าจะทำอะไรบ้าง ท่านมีสิทธิ์ปฏิเสธหรือยกเลิก ซึ่งหลังจากนั้นก็จะได้รับการรักษาด้วยวิธีปกติต่อไป

ความรู้สึกและกำลังใจ
หลายท่านที่เป็น ET อาจไม่มีผลอะไรทางจิตใจมากนัก แต่บางคนก็อาจทำให้เกิดความกลัวได้มากเช่นกัน
โรงพยาบาลบางแห่งมีบริการช่วยเหลือทางด้านอารมณ์อยู่แล้ว โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เข้าใจและได้รับการฝึกเป็นอย่างดี

เอกสารอ้างอิง

This section has been compiled using information from a number of reliable sources including:

Thrombocytosis and Essential Thrombocythaemia. Dr C Harrison and Prof S Machin. http://www.netdoctor.co.uk/
Wintrobe’s Clinical Haematology (11th edition). Eds R Eds Lee et al. Williams and Wilkins, 2004.
Essential Haematology (5th edition). Eds Hoffbrand et al. Blackwell Scientific Publications, 2006.

For further references, please see the general bibliography.
------------------------


ตรวจทานเนื้อหาล่าสุด 1 เมษายน 2551อันนี้ผมไปแปลมาแบบค่อนข้างจะสรุปนะครับ ถ้าไม่แน่ใจก็ไปอ่านภาษาอังกฤษได้เลย (ไม่ค่อยถนัดศัพท์แพทย์ครับ นั่งหาอยู่นานว่าจะใช้คำไหนดี)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 พฤษภาคม, 2009, 20:44:50 โดย LunaticNeko »

เว็บบอร์ด โรคเกล็ดเลือดสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ http://et.it-2u.com/

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เปิดเว็บบอร์ดค่ะ

ห่างหายไปนานเลยค่ะ มัวแต่ยุ่ง ๆ กับหลายเรื่อง พอเข้ามาหาข้อมูลเรื่องยาตัวใหม่ที่คุณหมอจะเปลี่ยนให้ทานกลางเดือนพ.ค. นี้ เพราะเม็ดเลือดขาวเราต่ำอย่างต่อเนื่อง เราก็เลยได้มาเจอกระทู้เก่า ๆ ที่เคยตั้ง ปรากฎว่ามีหลายท่านเข้ามาตอบ ทำให้เรารู้ว่า มีหลายท่านที่กำลังป่วยด้วยโรคนี้ http://healthnet.md.chula.ac.th/cyber_board/room5/messages/3895.html และพยายามหาข้อมูลเหมือนครั้งหนึ่งที่เราเคยพยายามมาแล้ว แต่ทุกท่านไม่ได้ให้ e-mail address ไว้ เราเลยเข้าไปตั้งกระทู้ตามหาในพันทิป http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L7817127/L7817127.html

เราคิดต่อไปว่าจะทำอย่างไรที่จะช่วยเหลือเรื่องข้อมูลซึ่งกันและกันได้ ก็เลยแบ่งพื้นที่จากงานของเราเองเปิดเว็บบอร์ดนี้ http://et.it-2u.com อย่างน้อยก็ได้เป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน เราจะเอาข้อมูลเกี่ยวกับโรคและยาขึ้นไว้นะคะ

บุญรักษาและเป็นกำลังใจให้ทุกท่านค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

บวชเนกขัมมะ


เย็นวันเสาร์ที่ 26 เมษายน นัดกะลุงฉุยว่าจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดสังฆทาน โดยนัดเจอกันที่วัดสี่โมงเย็น สี่โมงก็ยังไปไม่ถึง เพราะรถติดลุงฉุยก็โทร.มาว่าอยู่ไหน ตอนนั้นลุงฉุยว่า ลงทะเบียนที่ใต้โบสถ์ กับเปลี่ยนชุดขาวเรียบร้อยแล้วนะ เราก็เออ เราก็รีบแล้ว เด๋วไปถึงวัดแล้วเราโทร.หานะ เพราะสัญญาณไม่ดีเลย ไปถึงวัดก็ประมาณบ่ายสี่โมงสิบห้า โทร.หาลุงฉุยก็ไม่ติด เวงกำ ต้องทำไงบ้างล่ะ ถามสิทีนี้ ถามท่านที่ใส่ชุดขาวบริเวณนั้น เมื่อกี้ลุงฉุยบอกว่า ต้องลงทะเบียนใต้โบสถ์ ตรงไหนหว่า สงสัยตรงที่เคยมาซื้อซีดี เพราะเราเคยมาแล้วสองครั้ง ลองถามคนที่มาบวชแถวนั้น เออ ใช่ตรงนั้นจริง ๆ ก็เลยรีบลงไป

มีคนมารอเข้าคิวกันหลายคน เราก็ถามว่าต้องทำยังไง เค้าถามว่า เคยมามั้ย ถ้าไม่เคย ก็ต้องกรอกใบสมัคร เราก็หยิบมากรอก อ้าว!!! หัวใบสมัครเขียนว่า ใบสมัครบวชเนกขัมมะ นี่นา ยังไงล่ะเนี่ย ตกลงมาบวชเหรอตรู ไม่ได้รู้เรื่องเล้ยยยย มีรายละเอียดให้ลงวันบวช วันสึกด้วย เราก็กรอกไปว่า บวชวันนี้ สึกพรุ่งนี้ ยื่นใบสมัครเสร็จ ก็ต้องให้บัตรประชาชนพร้อมรูปถ่ายด้วย เราไม่มีรูปถ่าย ก็มีกล้องดิจิตอลถ่ายให้ตรงนั้นเลย โห บริการดีจัง ตรงที่ลงทะเบียนเค้าจะเก็บบัตรประชาชนไว้นะคะ ต้องมารับคืนเช้าวันที่สึกซึ่งฝ่ายนี้จะเปิดบริการตอน 8 โมงเช้า แต่ถ้าท่านใดบวชหลายวัน ก็มารับได้ก่อนวันที่สึก 1 วันค่ะ

ลงทะเบียนเสร็จ วิ่งขึ้นมาจากใต้อุโบสถ เจอลุงฉุยพอดี ลุงฉุยเปลี่ยนชุดขาวเรียบร้อย ดูอิ่มบุญจังเนาะ เราต้องซื้อชุดขาว ลุงฉุยก็พาไปที่สหกรณ์ ก็สะดวกอีก มีตัวอย่างแขวนไว้ให้ลองขนาด เสร็จแล้วก็ไปบอกที่เคาน์เตอร์ เราก็ไปบอกว่าเราเอาเสื้อเบอร์นี้นะ ป้าถามว่า เอาผ้านุ่งมั้ย เราว่า ต้องใช้ไรมั่งล่ะคะ ป้าจัดมาเถอะค่ะ หนูไม่รู้ (อายมะเนี่ย) ป้าหยิบเสื้อมาให้ แล้วก็มาวัดเอว เราก็งง วัดทำไม แค่ผ้านุ่ง ป้าว่า แหม หนูหุ่นสูงดีจังยังกะนางแบบ (อิอิ เวงกำ) แล้วป้าก็หยิบผ้านุ่งมาให้ ป้าว่า ลองเลยนะ พอคลี่ออกมา โห เค้าเย็บมาเรียบร้อย ทำเป็นตะขอเกี่ยวไว้ด้วย ตอนแรกเราก็คิดว่าผ้านุ่งธรรมดา บอกจริง ๆ อ่ะ ว่า ก่อนมาก็กังวลเล็ก ๆ กะผ้านุ่งเนี่ยแหละ เพราะเรานุ่งไม่เป็นนะ กลัวหลุดหนะ สรุปชุดที่ซื้อมามี 4 ชิ้นค่ะ ผ้านุ่ง 180 บาท เสื้อ 100 บาท สไบ 50 บาท แล้วก็กระโปรงซับใน 50 บาท รวมเป็น 380 บาท ซื้อเสร็จก็รีบล่ะ ตอนนั้น บ่ายสี่โมงสี่สิบกว่าแล้ว ต้องวิ่งไปเปลี่ยนชุด แล้วต้องไปพร้อมกันที่ศาลาเพื่อบวชเวลาประมาณห้าโมงเย็น เราพักที่ศาลาธรรมะสว่างใจค่ะ ซึ่งต้องเดินไปอีกพอสมควรเลย เดินแทบจะวิ่งเลย

พอถึงศาลาธรรมะสว่างใจ เรารีบอ่านข้อปฏิบัติ อ้อ ต้องลงทะเบียนก่อน รีบไปลงทะเบียน ป้าที่รับลงทะเบียนถามว่า เพิ่งมาล่ะสิ รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย ถ้าคนที่เคยมาแล้ว เค้าจะรู้ ถ้ามาถึงเวลาเกือบห้าโมงเนี่ย เค้าจะไปที่ศาลาก่อน แล้วค่อยมาจัดการเรื่องเสื้อผ้า อ้าว...ไม่รู้นี่นา ก็รีบที่สุดแล้วกัน รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปเช่าล๊อกเกอร์เอาของเก็บ ค่าเช่าล๊อกเกอร์ 30 บาทค่ะ เอาไว้เก็บของมีค่าพวกกระเป๋าสตางค์ โทร. ของที่เราจะไม่ต้องใช้ตอนกลางคืน นอกนั้นพวกของใช้ส่วนตัวก็เอาไปวางหาที่นอนได้เลย หยิบหมอนได้เลยจากในตู้ค่ะ เราหาที่นอนได้แล้ว ตรงไหนก็ได้ เรานอนได้หมด เอาของวางแล้วก็รีบไปศาลาที่รับบวช ผ้านุ่งก็ยาว ทำให้เดินช้า ปกติเราเป็นคนเดินเร็วหนะค่ะ ก็ต้องรั้งผ้านุ่งขึ้นมาเพื่อให้เดินเร็วล่ะ เวงกำ ไม่ต้องสำรวมกันล่ะ อิอิ ระหว่างทางเดินไป โชคดีเดินไปทันป้ากะน้องคนนึงที่มาบวชเหมือนกัน ป้าก็ชี้ศาลาให้เรากะน้องคนนั้นไปรับบวช

ไปถึงที่ศาลา มีคนแต่งชุดขาวมาเยอะพอสมควรค่ะ เกือบร้อยล่ะมั้ง ผู้ชายจะนั่งแถวหน้าค่ะ ตอนนั้น คุณแม่ชีกำลังอธิบายข้อปฏิบัติต่าง ๆ ของวัด เรากะน้องคนนั้น (ทราบทีหลังว่าชื่อ น้องหยก อายุ 30 ปี) ก็รีบไปนั่งต่อแถวล่ะ

ประมาณ 6 โมงเย็น หลวงพ่อก็มา ให้อาราธนาศีลแปด รับบวช แล้วก็มีการฝึกการนั่งสมาธิเล็กน้อย การเข้าและออกสมาธิ เสร็จก็ประมาณ 1 ทุ่ม จากนั้นก็ต้องไปที่อุโบสถแก้ว เพื่อสวดมนต์ ทำวัตรเย็น เราก็ไม่รู้อีก เพราะเดินไปเอาขวดน้ำที่รถ เค้าก็ไปกันหมดแล้ว พอเดินจะกลับที่ศาลาธรรมะสว่างใจ ก็เจอกับน้องหยก บอกว่าเราต้องไปสวดมนต์ที่อุโบสถแก้ว

พอไปถึงอุโบสถแก้ว ท่านที่มาบวช และที่ไม่ได้บวชก็มากันเยอะแล้ว ก็ต้องหาที่ว่างเฉพาะตัวกันล่ะ ประมาณ 1 ทุ่ม ก็สวดทำวัตร จากนั้นก็นั่งสมาธิ จนถึงสี่ทุ่ม แต่ตอนที่เค้าปิดไฟเพื่อนั่งสมาธิ พอปิดไฟปุ๊บ ยุงมาปั๊บ เราอุตสาห์เตรียมโลชั่นทากันยุงไป ก็ไม่ได้ใช้ เพราะคิดว่าใช้เฉพาะตอนนอน ท่านใดที่จะไปแบบเรา ต้องทาก่อนนะคะ

คืนที่เราไปเป็นคืนวันเสาร์ ซึ่งจะมีพระอาจารย์มาเทศน์ทั้งคืน ฉะนั้น พอเสร็จจากสมาธิ ก็เหมือนการพักเพื่อให้เข้าห้องน้ำ และมาดื่มเครื่องดื่มที่ทางวัดจัดไว้ให้ มีสารพัดล่ะค่ะ เช่น น้ำมะตูม โอเลี้ยง โอวัลติน น้ำลำใย ฯลฯ ใส่คูลเลอร์ไว้ แต่เราไม่ดื่มหนะ เราไม่ชอบดื่มอะไรหวาน ๆ ตอนกลางคืน สักพักเราก็เข้าไปนั่งฟังพระเทศน์ ซึ่งตอนนั้น คนน้อยแล้ว เพราะกลับไปพักกันเยอะ ตอนแรกกะว่าจะนั่งฟังทั้งคืน แต่เราไม่รู้ว่าตอนเช้าจะต้องทำอะไรบ้าง แล้วมีงานที่ต้องกลับมาเคลียร์วันอาทิตย์ กลัวว่าวันอาทิตย์จะทำงานไม่ไหว ห้าทุ่มกว่าเลยกลับไปพักผ่อน ระหว่างทางเดินจากอุโบสถแก้วกลับศาลาธรรมะสว่างใจเนี่ยมืดดีจริง ๆ แล้วเดินกลับคนเดียวด้วยนะ เดินไปตาก็มองที่หมายอย่างเดียวล่ะ

ตีสาม ต้องตื่นแล้ว ไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกเลยค่ะ เพราะคนอื่น ๆ ก็ตื่นกัน รีบจัดการตัวเองแล้วต้องไปพร้อมกันที่อุโบสถแก้วเวลาตีสามครึ่ง เพื่อเริ่มทำวัตรเวลาตีสี่ แล้วก็นั่งสมาธิ จนถึงเวลาประมาณตีห้าครึ่ง หลังจากนั้น คนที่จะสึกวันนี้ พระท่านจะให้ไปนั่งที่หน้าหลวงพ่อโตเพื่อทำการสึกและรับศีลห้า พอสึกแล้ว ก็รู้สึกใจหายเหมือนกันนะ ไม่น่าเชื่อว่า การบวชแค่คืนเดียวจะทำให้รู้สึกได้ขนาดนี้ แต่เราก็ตั้งใจไว้แล้วว่าเราจะมาบวชอีกค่ะ

จากนั้นก็ไปใส่บาตร ที่วัดจะมีบริการจัดเป็นชุดไว้เลยค่ะ มาไหว้พระธาตุ แล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดธรรมดา อ้อ ต้องเอาของออกจากศาลาธรรมะสว่างใจก่อน 7 โมงเช้านะคะ เพราะเค้าจะล๊อคประตูค่ะ ท่านที่บวชต่อ ก็ไปพร้อมกันที่ลานเพื่อฝึกเดินจงกรม แต่เราก็ต้องมารอเพื่อรับบัตรประชาชนคืนตรงที่ลงทะเบียน ซึ่งหน่วยงานนี้จะทำงานเวลา 8 โมง ระหว่างรอก็ไปซื้อของทานล่ะ ที่วัดจะมีพวกผลไม้จากชาวบ้าน ซึ่งบอกว่าเป็นผลไม้จากสวนแถวนั้นมาขาย ราคาถูกกว่าตลาดแถมยังอร่อยกว่าซื้อที่ตลาดด้วย เพิ่ง 7.30 น.เอง ลงไปอ่านหนังสือตรงที่รอรับบัตรคืนดีกว่า

ทางวัดจะจัดเป็นมุมอ่านหนังสือไว้ให้ เราสะดุดตากับหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ "ขอบคุณนะ มะเร็ง" หยิบมาแล้ว ไม่มีเก้าอี้นั่ง ก็หามุมนั่งอ่านกับพื้นนั่นล่ะ แต่ยังอ่านไม่จบนะคะ เพราะเวลาอ่านน้อย สรุปว่า ผู้หญิงคนนี้ มีครอบครัวแล้ว มีลูก สามีต้องไปประจำที่ต่างจังหวัด แล้วเธอก็ตรวจพบมะเร็งเต้านม ระยะที่ 2 เธอตัดสินใจผ่าตัด และทำศัลยกรรมแผลที่ผ่าไปพร้อม ๆ กันโดยเอาไขมันหน้าท้องขึ้นมาเสริมทรวงอก เธอบอกว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเลย เพราะมันเจ็บมาก จากแผลที่ผ่าตัดถึงสองที่ในเวลาเดียวกันหลังจากผ่าตัดแล้ว เธอต้องรับเคมีบำบัดอีกสองอาทิตย์ต่อ 1 ครั้ง (อ่านไม่จบนะคะ ว่าสรุปแล้ว เธอต้องให้เคมีนานแค่ไหน) ซึ่งเธอมีอาการแพ้ อาเจียน ตัวร้อนผ่าว เบื่ออาหาร นอกจากนี้ ในหนังสือได้อธิบายเกี่ยวกับยาเคมีบำบัดไว้ สาระสำคัญคือ ในขณะที่เคมีบำบัดทำลายเซลล์มะเร็ง ก็จะทำลายเซลล์ดี ๆ ไปพร้อมกัน และทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำ ซึ่งประเด็นนี้เราต้องตระหนักและระวัง ฉะนั้นเราต้องดูแลเรื่องอาหาร ทานที่มีประโยชน์เพื่อช่วยเรื่องเซลล์ที่ถูกทำลาย และการพักผ่อนเพื่อคงปริมาณเม็ดเลือดขาวไว้ เธอบอกว่า เพราะมะเร็งเนี่ยแหละ ทำให้เธอกลับมาสนใจขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

เราว่า การเป็นที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ยังพอจะจัดการในเบื้องต้นได้โดยการผ่าตัดส่วนนั้นทิ้งเสียก่อน แล้วจึงควบคุมในขั้นต่อไป แต่เรานี่สิ ไม่รู้ว่าจะตัดตรงไหน เพราะมันอยู่ในเลือด ซึ่งกระจายอยู่ทุกส่วนของร่างกาย

เราอ่านไป ก็นึกถึงตัวเองไปด้วย สงสารผู้หญิงคนนี้จัง สงสารตัวเองด้วย ผู้หญิงคนนี้กลับมาสนใจธรรมะ ก็คงเหมือนเรา ถ้าไม่ใช่เพราะป่วย เราคงไม่ได้มาบวชในวันนี้ ไม่ได้มาสวดมนต์ในอุโบสถแก้ว ไม่ได้มานั่งอ่านหนังสือเล่มนี้...ที่นี่

บางทีวิถีของเราคงต้องเป็นแบบนี้ ตามกรรมที่เราได้ทำมา ก็ไม่เป็นไรนะ เวลาที่ยังเหลือ เราก็ขอสร้างกุศลเต็มกำลังที่เราจะทำได้ก็แล้วกัน อย่างที่เราบอกไงคะ ว่านี่อาจเป็นเวลาที่เหลือของเรา ที่จะสะสมบุญ อย่างน้อยเราคิดว่าเราคงมีบุญเก่าอยู่บ้าง เพราะเมื่อเรารู้ว่าป่วย แม้ว่าเราจะรู้สึกแย่มากในช่วงแรก แต่เราก็ไม่เคยท้อแท้ หมดอาลัยในชีวิตนะ อย่างน้อยสิ่งที่เรามองว่าเป็นบุญของเราคือเรามีสติ และมีปัญญา มองเห็นปัญหา และแสวงหาแนวทางแก้ปัญหาด้วยสติและปัญญาที่เราพอจะมีอยู่บ้าง โดยเฉพาะการใช้จัดการกับใจ ซึ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าร่างกายที่กำลังป่วยของเรามากนัก

กราบขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่ ที่ให้โอกาสเราได้เกิดมาภายใต้ร่มพระพุทธศาสนา เพื่อให้เราได้มีโอกาสในการสร้างกุศลกรรมต่อไป และขอบคุณสมาชิกทุกท่านในครอบครัวที่ให้เราได้บวช ขอบคุณมากมายสำหรับลุงฉุย ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเราในการที่ทำให้เราได้บวชครั้งแรกในชีวิต ลุงฉุยได้สร้างมหากุศลในชีวิตของลุงฉุยเลยล่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจจากทุกท่านและหลาน ๆ จากหนองบัวลำภู ขอแผ่บุญกุศลที่ได้ทำในครั้งนี้ให้ทุกท่านค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2551

มาตามนัด ฟังผลสแกน

4 เม.ย. 51 ตามกำหนดหมอนัดอีกล่ะ ไปเจาะเลือด แล้วมารอคิวเหมือนเดิม แต่วันนี้จะได้รู้ผลสแกนแล้ว วันนี้คนน้อยดีจัง เพราะเป็นวันหยุดยาว วันจักรีหนะ เราเลยได้คิวเร็วเลย 10 โมง ก็ได้พบหมอล่ะ พอไปถึงหน้าห้องหมอ พยาบาลให้ไปเอาผลสแกนอีก เสียเวลาอีกครึ่งชั่วโมง เวงกำ

สิบโมงครึ่ง ไปพบหมอ หมออ่านผลเลือดมีสีหน้ากังวลเล็กน้อยแล้วบอกว่า เกล็ดเลือดลงมากไป ดึงให้เม็ดเลือดขาวต่ำไปด้วย หมอว่า คราวนี้เกล็ดเลือดเหลือ 538,000 (เดิม 1,200,200) ส่วนเม็ดเลือดขาวต่ำมาก เหลือแค่ 2,800 (เดิม 4,200) ซึ่งเดิมต่ำกว่ามาตรฐานอยู่แล้ว มาตรฐานต้อง 4,500 ตอนนี้เหลือน้อยที่สุดตั้งแต่ป่วยมา

หมอบอกว่า ต้องลดยา hydrea ล่ะ เหลือแค่วันละเม็ด เพื่อให้เม็ดเลือดขาวขึ้นมากกว่านี้ ส่วนแอสไพริน ต้องกินต่อไป วันละเม็ด

ส่วนผลของการสแกน หมอบอกว่า จุดในตับไม่มีปัญหา แต่มดลูกโตนะ อ้าว...เวงกำ ไม่เป็นโน่น ก็เป็นนี่ หมอบอกว่า ดูอาการไปก่อน

มานั่งรอยา เบื่อมาก ๆ แล้วนะ กะที่เป็นเนี่ย นึกอยู่เหมือนกัน ว่าเม็ดเลือดขาวต้องต่ำแน่ เพราะอาการเจ็บลดลงแทบไม่เหลือ แสดงว่า เกล็ดเลือดต้องลง แล้วเม็ดเลือดขาวก็ต้องลงไปด้วย เพียงแต่ไม่คิดว่าจะต่ำมากขนาดนี้ เฮ้อออออ...

นั่งรถกลับบ้าน มันคุ้น ๆ นะ มดลูกโตนี่ สักพักก็นึกได้ เออ..แม่ก็เป็นนี่นา ตัดไปแล้ว รู้สึกว่า ตอนอายุประมาณเนี้ย อ่อ กรรมพันธุ์ซะอีก

สิ่งที่คิดถัดมาคือ ต้องจัดการเรื่องเม็ดเลือดขาวต่ำ ต้องระวังไม่ให้ติดเชื้อล่ะ ไม่งั้นแย่แน่ ไปไหนก็ต้องพกผ้าเช็ดหน้าล่ะ เลี่ยงที่ชุมชน ที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องไปไหนกันล่ะ อยู่แต่บ้าน กะไปทำงานก็พอ

กลับถึงบ้าน รู้สึกว่าใจมันนิ่งกว่าเดิมเยอะเลย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะหมอ หมอคนนี้ทำให้เราสบายใจขึ้นกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่เม็ดเลือดขาวไม่เคยต่ำขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่ หรืออาจเป็นเพราะทำใจไว้แล้วเพราะรู้ว่ามันต้องต่ำ

แต่อีกส่วนหนึ่งอาจมาจากเริ่มยอมรับกับโรคได้มากขึ้น ก็รู้จักกันมาเกือบปีล่ะ ไม่ให้ยอมรับกันได้ยังไง โดยเฉพาะน้องเกล็ดเลือดเนี่ย สนิทกันเป็นพิเศษเลย อาการเจ็บที่โคนเล็บนิ้วโป้งซ้ายที่เป็นมาสักสองสามเดือนก็ยังเป็นอยู่ตลอด พอเตือนให้รู้ว่ากำลังป่วยนะเนี่ย

นัดหน้าเจอกัน 13 มิ.ย. ครบปีล่ะนะ น้องเกล็ดเลือด แล้วยังนัดใกล้วันสำคัญเราซะด้วย แม๊...ยังงี้ต้องฉลองใหญ่

CT SCAN ประสบการณ์ใหม่

17 มี.ค. 51 ต้องทำสแกนล่ะ ตื่นเต้นดี เหมือนตอนต้องไปเจาะไขกระดูกเลย มันจะเป็นยังไงน้อ ไปแต่เช้าเลย รอคิว

วันนี้ไม่ต้องพบหมอค่ะ แค่มาสแกน แล้วรอฟังผลวันที่ 4 เม.ย. 51 เลย

นั่งสักพัก เจ้าหน้าที่การเงินก็เรียกไปเคลียร์ค่าใช้จ่าย เราไม่ต้องจ่ายค่ะ เพราะใช้สิทธิประกันสังคม และเป็นการสั่งตรวจโดยแพทย์ ถ้าต้องจ่ายก้อ 13,800 บาท

เจ้าหน้าที่การเงินถามว่า เราเป็นไร ทำไมต้องสแกน เราว่า เป็นเกล็ดเลือดสูง เค้าถามว่า เป็นยังไง ไม่เคยได้ยิน ได้ยินแต่เกล็ดเลือดสูง เราก็คิดในใจ เนี่ย คนทำงานโรงพยาบาลนะ ยังไม่เคยได้ยินแล้วเราจะเคยได้ยินมั้ยเนี่ย เจ้าหน้าที่ถามต่อว่า อาการเป็นยังไง เราเลยบอกไปแค่ว่า ถ้ามันมากเกิน ก็อุดตันตามปลายประสาท ทำให้เป็นอัมพฤต อัมพาต

มารอทำสแกนสักพักเจ้าหน้าที่ก็มาถึง (เราไปเช้าหนะค่ะ ยังไม่ถึงเวลางาน) เอาชุดมาให้เปลี่ยน แล้วเอาน้ำใส่เหยือกมาให้เราดื่ม 900 ซีซี โห ตายแน่ตรู เอ้า ดื่มก็ดื่ม สักครึ่งชม. พยาบาลบอกว่า ต้องเจาะเส้นเลือดเพื่อเดินยา

แล้วพยาบาลก็เรียกไปนั่งที่จัดไว้ให้ เอายางมารัด แล้วตีหาเส้นที่ข้อพับแขน ปรากฏว่า เส้นไม่ขึ้น เลยต้องมาเจาะที่ข้อมือ ปัญหาคือ เรากินยาแอสไพริน ซึ่งมันเป็นยาต้านเกล็ดเลือด จะทำให้เกล็ดเลือดไม่เกาะตัวกัน และเส้นเลือดขยาย พอเจาะเข้าไป เลือดมันก็ทะลักไหลลงมาตามข้อมือเลย พยาบาลร้อง ตายแล้ว เดี๋ยวนะคะ เลือดไหลเต็มเลย โห...พยาบาลยังร้องตายแล้ว แล้วเราล่ะ เวงกำแท้ๆ

พยาบาลบอกว่า เดี๋ยวนะคะ เช็ดเลือดก่อน ต้องรัดแน่น ๆ เฮ้ออออ...กว่าจะเสร็จ

พอเข้าไปในห้องสแกน ต้องดื่มน้ำอีก 250 ซีซี ตาย ๆ ดื่มก็ดื่ม

สักพัก พยาบาลคนเดิมมาอีกแล้ว บอกว่า ให้นอนตะแคง เพราะต้องเดินน้ำยาเข้าทางก้นด้วย โหยยยยชีวิต มีไรมากกว่านี้อีกมั้ย จัดมาเลยนะ

จากนั้น เจ้าหน้าที่ก็ออกจากห้องหมด ไปคอนโทรลที่ด้านนอก สั่งให้เราหายใจเข้าออกตามคำสั่งสแกน สักพักก็เดินยาเข้าข้อมือ สุดๆๆๆๆเลยอ่ะ ตอนแรกเจ้าหน้าที่ว่า ตอนเดินยาจะร้อนนิดหน่อยนะคะ ไม่ต้องตกใจ ก็ไม่ได้ตกใจนะ แต่ไม่คิดไง ว่ามันจะขนาดนี้ มันร้อนตั้งแต่หัวจรดเท้าหนะ แล้วกลิ่นยามันขึ้นจมูกแบบสุด ๆ เลย

เสร็จแล้ว ออกมานั่งมึนอยู่หน้าห้องคนเดียว คนที่รอต่อไป หลายคนก็มองเรา คงงงหนะ ยัยนี่มาทำสแกนได้ยังไง คนเดียว อิอิ

สักพัก พยาบาลมาถอดสายเดินยา แล้วบอกว่า จากนี้ให้ดื่มน้ำให้ได้ 2 ลิตร ภายใน 24 ชม. เพราะยาที่เดินจะตกค้างที่ไต โห...ดื่มน้ำ 2 ลิตรเนี่ยนะ ปกติเราเป็นคนดื่มน้ำน้อยมาก ซึ่งเป็นข้อเสียด้วย แต่นี่ต้องดื่มให้ได้ 2 ลิตร แล้วยังมีที่ดื่มเข้าไปก่อนทำอีกลิตรกว่า อยากบอกว่า ในชีวิต ไม่เคยดื่มน้ำมากขนาดนี้มาก่อนเลยจริง ๆ

กลับมาบ้าน พยายามดื่มมาก ๆ ถ้าใครไม่เคยดื่มน้ำจนจะอาเจียนนะ อยากให้ลองดู เป็นประสบการณ์ที่สุดยอดมากๆๆๆๆๆ กว่าจะดื่มครบ 2 ลิตร ปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่า เฮ้ออออ...

วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2551

โรงพยาบาลใหม่ พบหมอครั้งที่ 2

29 ก.พ. 51 ไปแต่เช้าอีกล่ะ ต้องเจาะเลือด แล้วก็รอผล แล้วก็พบหมอ ขั้นตอนตรงนี้ ชินแระ ตอนเย็นมีนัดกะสมาชิกห้องธรรม ไประยองกัน ต้องรีบล่ะวันนี้

แต่เหมือนแกล้งเนาะ วันนี้ระบบส่งผลเลือดห้องแล๊บมีปัญหา กว่าจะได้รู้ผล พบหมอ ปาเข้าไป 11 โมง กว่าจะรอยาอีก

ได้พบหมอ หมอว่า เกล็ดเลือดล้านสอง เม็ดเลือดขาว 4,200 ก็พอรู้อยู่ล่ะว่ามันขึ้นแน่ เพราะอาการเจ็บเริ่มมานิด ๆ ล่ะ ก็คราวที่แล้วหมอให้งด hydrea ทานแต่แอสไพริน ก็ต้องขึ้นแน่ล่ะ

หมอว่า ผลเลือดจากแล็บโรงพยาบาลรามาได้แล้ว ผลว่าเกล็ดเลือดเป็นเนื้องอก เออ เอาเข้าไป เกิดมาไม่เคยได้ยิน หมอว่า ให้เลี่ยงพวกถั่วเมล็ดแห้ง เครื่องในสัตว์

เรามีอาการข้อนิ้วโป้งขวาบวม หมอว่า เป็นอาการของโรคนี้อ่ะ คล้ายคนเป็นเก๊า ปวดตามข้อ ข้อบวม หมอถามว่า เคยทาน hydrea สูงสุดวันละกี่เม็ด เราเคยทาน 2 เม็ด เช้าเย็น หมอว่า งั้นให้ทานเช้าเย็นนะ เพราะเกล็ดเลือดสูงมาก แล้วทานแอสไพรินอีกวันละเม็ด เหมือนเดิม หมอว่า รอผลจากทำ CT SCAN วันที่ 17 มี.ค. อีกที ก็ชัดเจนล่ะ ว่าตัดประเด็นเรื่องตับได้หรือเปล่า

มานั่งรอยา เกิดอารมณ์เดิม ๆ หดหู่อีกล่ะ พอให้รู้ว่ายังเป็นคนเนอะ มีความรู้สึกหดหู่ได้ ไม่เป็นไร...ทุกข์ก็ให้รู้ว่าทุกข์ คิดก็ให้รู้ว่าคิด แต่อย่าไปติดกับมัน ไม่งั้นจิตตก นั่งรอยาก็พยายามคิดเรื่องอื่นไป คิดเรื่องจะได้ไปเที่ยวระยองดีกว่า ใจจะได้มีแรง

วันที่ 17 มี.ค. เจอกันนะ CT SCAN