วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

บวชเนกขัมมะ


เย็นวันเสาร์ที่ 26 เมษายน นัดกะลุงฉุยว่าจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดสังฆทาน โดยนัดเจอกันที่วัดสี่โมงเย็น สี่โมงก็ยังไปไม่ถึง เพราะรถติดลุงฉุยก็โทร.มาว่าอยู่ไหน ตอนนั้นลุงฉุยว่า ลงทะเบียนที่ใต้โบสถ์ กับเปลี่ยนชุดขาวเรียบร้อยแล้วนะ เราก็เออ เราก็รีบแล้ว เด๋วไปถึงวัดแล้วเราโทร.หานะ เพราะสัญญาณไม่ดีเลย ไปถึงวัดก็ประมาณบ่ายสี่โมงสิบห้า โทร.หาลุงฉุยก็ไม่ติด เวงกำ ต้องทำไงบ้างล่ะ ถามสิทีนี้ ถามท่านที่ใส่ชุดขาวบริเวณนั้น เมื่อกี้ลุงฉุยบอกว่า ต้องลงทะเบียนใต้โบสถ์ ตรงไหนหว่า สงสัยตรงที่เคยมาซื้อซีดี เพราะเราเคยมาแล้วสองครั้ง ลองถามคนที่มาบวชแถวนั้น เออ ใช่ตรงนั้นจริง ๆ ก็เลยรีบลงไป

มีคนมารอเข้าคิวกันหลายคน เราก็ถามว่าต้องทำยังไง เค้าถามว่า เคยมามั้ย ถ้าไม่เคย ก็ต้องกรอกใบสมัคร เราก็หยิบมากรอก อ้าว!!! หัวใบสมัครเขียนว่า ใบสมัครบวชเนกขัมมะ นี่นา ยังไงล่ะเนี่ย ตกลงมาบวชเหรอตรู ไม่ได้รู้เรื่องเล้ยยยย มีรายละเอียดให้ลงวันบวช วันสึกด้วย เราก็กรอกไปว่า บวชวันนี้ สึกพรุ่งนี้ ยื่นใบสมัครเสร็จ ก็ต้องให้บัตรประชาชนพร้อมรูปถ่ายด้วย เราไม่มีรูปถ่าย ก็มีกล้องดิจิตอลถ่ายให้ตรงนั้นเลย โห บริการดีจัง ตรงที่ลงทะเบียนเค้าจะเก็บบัตรประชาชนไว้นะคะ ต้องมารับคืนเช้าวันที่สึกซึ่งฝ่ายนี้จะเปิดบริการตอน 8 โมงเช้า แต่ถ้าท่านใดบวชหลายวัน ก็มารับได้ก่อนวันที่สึก 1 วันค่ะ

ลงทะเบียนเสร็จ วิ่งขึ้นมาจากใต้อุโบสถ เจอลุงฉุยพอดี ลุงฉุยเปลี่ยนชุดขาวเรียบร้อย ดูอิ่มบุญจังเนาะ เราต้องซื้อชุดขาว ลุงฉุยก็พาไปที่สหกรณ์ ก็สะดวกอีก มีตัวอย่างแขวนไว้ให้ลองขนาด เสร็จแล้วก็ไปบอกที่เคาน์เตอร์ เราก็ไปบอกว่าเราเอาเสื้อเบอร์นี้นะ ป้าถามว่า เอาผ้านุ่งมั้ย เราว่า ต้องใช้ไรมั่งล่ะคะ ป้าจัดมาเถอะค่ะ หนูไม่รู้ (อายมะเนี่ย) ป้าหยิบเสื้อมาให้ แล้วก็มาวัดเอว เราก็งง วัดทำไม แค่ผ้านุ่ง ป้าว่า แหม หนูหุ่นสูงดีจังยังกะนางแบบ (อิอิ เวงกำ) แล้วป้าก็หยิบผ้านุ่งมาให้ ป้าว่า ลองเลยนะ พอคลี่ออกมา โห เค้าเย็บมาเรียบร้อย ทำเป็นตะขอเกี่ยวไว้ด้วย ตอนแรกเราก็คิดว่าผ้านุ่งธรรมดา บอกจริง ๆ อ่ะ ว่า ก่อนมาก็กังวลเล็ก ๆ กะผ้านุ่งเนี่ยแหละ เพราะเรานุ่งไม่เป็นนะ กลัวหลุดหนะ สรุปชุดที่ซื้อมามี 4 ชิ้นค่ะ ผ้านุ่ง 180 บาท เสื้อ 100 บาท สไบ 50 บาท แล้วก็กระโปรงซับใน 50 บาท รวมเป็น 380 บาท ซื้อเสร็จก็รีบล่ะ ตอนนั้น บ่ายสี่โมงสี่สิบกว่าแล้ว ต้องวิ่งไปเปลี่ยนชุด แล้วต้องไปพร้อมกันที่ศาลาเพื่อบวชเวลาประมาณห้าโมงเย็น เราพักที่ศาลาธรรมะสว่างใจค่ะ ซึ่งต้องเดินไปอีกพอสมควรเลย เดินแทบจะวิ่งเลย

พอถึงศาลาธรรมะสว่างใจ เรารีบอ่านข้อปฏิบัติ อ้อ ต้องลงทะเบียนก่อน รีบไปลงทะเบียน ป้าที่รับลงทะเบียนถามว่า เพิ่งมาล่ะสิ รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย ถ้าคนที่เคยมาแล้ว เค้าจะรู้ ถ้ามาถึงเวลาเกือบห้าโมงเนี่ย เค้าจะไปที่ศาลาก่อน แล้วค่อยมาจัดการเรื่องเสื้อผ้า อ้าว...ไม่รู้นี่นา ก็รีบที่สุดแล้วกัน รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปเช่าล๊อกเกอร์เอาของเก็บ ค่าเช่าล๊อกเกอร์ 30 บาทค่ะ เอาไว้เก็บของมีค่าพวกกระเป๋าสตางค์ โทร. ของที่เราจะไม่ต้องใช้ตอนกลางคืน นอกนั้นพวกของใช้ส่วนตัวก็เอาไปวางหาที่นอนได้เลย หยิบหมอนได้เลยจากในตู้ค่ะ เราหาที่นอนได้แล้ว ตรงไหนก็ได้ เรานอนได้หมด เอาของวางแล้วก็รีบไปศาลาที่รับบวช ผ้านุ่งก็ยาว ทำให้เดินช้า ปกติเราเป็นคนเดินเร็วหนะค่ะ ก็ต้องรั้งผ้านุ่งขึ้นมาเพื่อให้เดินเร็วล่ะ เวงกำ ไม่ต้องสำรวมกันล่ะ อิอิ ระหว่างทางเดินไป โชคดีเดินไปทันป้ากะน้องคนนึงที่มาบวชเหมือนกัน ป้าก็ชี้ศาลาให้เรากะน้องคนนั้นไปรับบวช

ไปถึงที่ศาลา มีคนแต่งชุดขาวมาเยอะพอสมควรค่ะ เกือบร้อยล่ะมั้ง ผู้ชายจะนั่งแถวหน้าค่ะ ตอนนั้น คุณแม่ชีกำลังอธิบายข้อปฏิบัติต่าง ๆ ของวัด เรากะน้องคนนั้น (ทราบทีหลังว่าชื่อ น้องหยก อายุ 30 ปี) ก็รีบไปนั่งต่อแถวล่ะ

ประมาณ 6 โมงเย็น หลวงพ่อก็มา ให้อาราธนาศีลแปด รับบวช แล้วก็มีการฝึกการนั่งสมาธิเล็กน้อย การเข้าและออกสมาธิ เสร็จก็ประมาณ 1 ทุ่ม จากนั้นก็ต้องไปที่อุโบสถแก้ว เพื่อสวดมนต์ ทำวัตรเย็น เราก็ไม่รู้อีก เพราะเดินไปเอาขวดน้ำที่รถ เค้าก็ไปกันหมดแล้ว พอเดินจะกลับที่ศาลาธรรมะสว่างใจ ก็เจอกับน้องหยก บอกว่าเราต้องไปสวดมนต์ที่อุโบสถแก้ว

พอไปถึงอุโบสถแก้ว ท่านที่มาบวช และที่ไม่ได้บวชก็มากันเยอะแล้ว ก็ต้องหาที่ว่างเฉพาะตัวกันล่ะ ประมาณ 1 ทุ่ม ก็สวดทำวัตร จากนั้นก็นั่งสมาธิ จนถึงสี่ทุ่ม แต่ตอนที่เค้าปิดไฟเพื่อนั่งสมาธิ พอปิดไฟปุ๊บ ยุงมาปั๊บ เราอุตสาห์เตรียมโลชั่นทากันยุงไป ก็ไม่ได้ใช้ เพราะคิดว่าใช้เฉพาะตอนนอน ท่านใดที่จะไปแบบเรา ต้องทาก่อนนะคะ

คืนที่เราไปเป็นคืนวันเสาร์ ซึ่งจะมีพระอาจารย์มาเทศน์ทั้งคืน ฉะนั้น พอเสร็จจากสมาธิ ก็เหมือนการพักเพื่อให้เข้าห้องน้ำ และมาดื่มเครื่องดื่มที่ทางวัดจัดไว้ให้ มีสารพัดล่ะค่ะ เช่น น้ำมะตูม โอเลี้ยง โอวัลติน น้ำลำใย ฯลฯ ใส่คูลเลอร์ไว้ แต่เราไม่ดื่มหนะ เราไม่ชอบดื่มอะไรหวาน ๆ ตอนกลางคืน สักพักเราก็เข้าไปนั่งฟังพระเทศน์ ซึ่งตอนนั้น คนน้อยแล้ว เพราะกลับไปพักกันเยอะ ตอนแรกกะว่าจะนั่งฟังทั้งคืน แต่เราไม่รู้ว่าตอนเช้าจะต้องทำอะไรบ้าง แล้วมีงานที่ต้องกลับมาเคลียร์วันอาทิตย์ กลัวว่าวันอาทิตย์จะทำงานไม่ไหว ห้าทุ่มกว่าเลยกลับไปพักผ่อน ระหว่างทางเดินจากอุโบสถแก้วกลับศาลาธรรมะสว่างใจเนี่ยมืดดีจริง ๆ แล้วเดินกลับคนเดียวด้วยนะ เดินไปตาก็มองที่หมายอย่างเดียวล่ะ

ตีสาม ต้องตื่นแล้ว ไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกเลยค่ะ เพราะคนอื่น ๆ ก็ตื่นกัน รีบจัดการตัวเองแล้วต้องไปพร้อมกันที่อุโบสถแก้วเวลาตีสามครึ่ง เพื่อเริ่มทำวัตรเวลาตีสี่ แล้วก็นั่งสมาธิ จนถึงเวลาประมาณตีห้าครึ่ง หลังจากนั้น คนที่จะสึกวันนี้ พระท่านจะให้ไปนั่งที่หน้าหลวงพ่อโตเพื่อทำการสึกและรับศีลห้า พอสึกแล้ว ก็รู้สึกใจหายเหมือนกันนะ ไม่น่าเชื่อว่า การบวชแค่คืนเดียวจะทำให้รู้สึกได้ขนาดนี้ แต่เราก็ตั้งใจไว้แล้วว่าเราจะมาบวชอีกค่ะ

จากนั้นก็ไปใส่บาตร ที่วัดจะมีบริการจัดเป็นชุดไว้เลยค่ะ มาไหว้พระธาตุ แล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดธรรมดา อ้อ ต้องเอาของออกจากศาลาธรรมะสว่างใจก่อน 7 โมงเช้านะคะ เพราะเค้าจะล๊อคประตูค่ะ ท่านที่บวชต่อ ก็ไปพร้อมกันที่ลานเพื่อฝึกเดินจงกรม แต่เราก็ต้องมารอเพื่อรับบัตรประชาชนคืนตรงที่ลงทะเบียน ซึ่งหน่วยงานนี้จะทำงานเวลา 8 โมง ระหว่างรอก็ไปซื้อของทานล่ะ ที่วัดจะมีพวกผลไม้จากชาวบ้าน ซึ่งบอกว่าเป็นผลไม้จากสวนแถวนั้นมาขาย ราคาถูกกว่าตลาดแถมยังอร่อยกว่าซื้อที่ตลาดด้วย เพิ่ง 7.30 น.เอง ลงไปอ่านหนังสือตรงที่รอรับบัตรคืนดีกว่า

ทางวัดจะจัดเป็นมุมอ่านหนังสือไว้ให้ เราสะดุดตากับหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ "ขอบคุณนะ มะเร็ง" หยิบมาแล้ว ไม่มีเก้าอี้นั่ง ก็หามุมนั่งอ่านกับพื้นนั่นล่ะ แต่ยังอ่านไม่จบนะคะ เพราะเวลาอ่านน้อย สรุปว่า ผู้หญิงคนนี้ มีครอบครัวแล้ว มีลูก สามีต้องไปประจำที่ต่างจังหวัด แล้วเธอก็ตรวจพบมะเร็งเต้านม ระยะที่ 2 เธอตัดสินใจผ่าตัด และทำศัลยกรรมแผลที่ผ่าไปพร้อม ๆ กันโดยเอาไขมันหน้าท้องขึ้นมาเสริมทรวงอก เธอบอกว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเลย เพราะมันเจ็บมาก จากแผลที่ผ่าตัดถึงสองที่ในเวลาเดียวกันหลังจากผ่าตัดแล้ว เธอต้องรับเคมีบำบัดอีกสองอาทิตย์ต่อ 1 ครั้ง (อ่านไม่จบนะคะ ว่าสรุปแล้ว เธอต้องให้เคมีนานแค่ไหน) ซึ่งเธอมีอาการแพ้ อาเจียน ตัวร้อนผ่าว เบื่ออาหาร นอกจากนี้ ในหนังสือได้อธิบายเกี่ยวกับยาเคมีบำบัดไว้ สาระสำคัญคือ ในขณะที่เคมีบำบัดทำลายเซลล์มะเร็ง ก็จะทำลายเซลล์ดี ๆ ไปพร้อมกัน และทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำ ซึ่งประเด็นนี้เราต้องตระหนักและระวัง ฉะนั้นเราต้องดูแลเรื่องอาหาร ทานที่มีประโยชน์เพื่อช่วยเรื่องเซลล์ที่ถูกทำลาย และการพักผ่อนเพื่อคงปริมาณเม็ดเลือดขาวไว้ เธอบอกว่า เพราะมะเร็งเนี่ยแหละ ทำให้เธอกลับมาสนใจขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

เราว่า การเป็นที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ยังพอจะจัดการในเบื้องต้นได้โดยการผ่าตัดส่วนนั้นทิ้งเสียก่อน แล้วจึงควบคุมในขั้นต่อไป แต่เรานี่สิ ไม่รู้ว่าจะตัดตรงไหน เพราะมันอยู่ในเลือด ซึ่งกระจายอยู่ทุกส่วนของร่างกาย

เราอ่านไป ก็นึกถึงตัวเองไปด้วย สงสารผู้หญิงคนนี้จัง สงสารตัวเองด้วย ผู้หญิงคนนี้กลับมาสนใจธรรมะ ก็คงเหมือนเรา ถ้าไม่ใช่เพราะป่วย เราคงไม่ได้มาบวชในวันนี้ ไม่ได้มาสวดมนต์ในอุโบสถแก้ว ไม่ได้มานั่งอ่านหนังสือเล่มนี้...ที่นี่

บางทีวิถีของเราคงต้องเป็นแบบนี้ ตามกรรมที่เราได้ทำมา ก็ไม่เป็นไรนะ เวลาที่ยังเหลือ เราก็ขอสร้างกุศลเต็มกำลังที่เราจะทำได้ก็แล้วกัน อย่างที่เราบอกไงคะ ว่านี่อาจเป็นเวลาที่เหลือของเรา ที่จะสะสมบุญ อย่างน้อยเราคิดว่าเราคงมีบุญเก่าอยู่บ้าง เพราะเมื่อเรารู้ว่าป่วย แม้ว่าเราจะรู้สึกแย่มากในช่วงแรก แต่เราก็ไม่เคยท้อแท้ หมดอาลัยในชีวิตนะ อย่างน้อยสิ่งที่เรามองว่าเป็นบุญของเราคือเรามีสติ และมีปัญญา มองเห็นปัญหา และแสวงหาแนวทางแก้ปัญหาด้วยสติและปัญญาที่เราพอจะมีอยู่บ้าง โดยเฉพาะการใช้จัดการกับใจ ซึ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าร่างกายที่กำลังป่วยของเรามากนัก

กราบขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่ ที่ให้โอกาสเราได้เกิดมาภายใต้ร่มพระพุทธศาสนา เพื่อให้เราได้มีโอกาสในการสร้างกุศลกรรมต่อไป และขอบคุณสมาชิกทุกท่านในครอบครัวที่ให้เราได้บวช ขอบคุณมากมายสำหรับลุงฉุย ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเราในการที่ทำให้เราได้บวชครั้งแรกในชีวิต ลุงฉุยได้สร้างมหากุศลในชีวิตของลุงฉุยเลยล่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจจากทุกท่านและหลาน ๆ จากหนองบัวลำภู ขอแผ่บุญกุศลที่ได้ทำในครั้งนี้ให้ทุกท่านค่ะ