วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

บวชเนกขัมมะ


เย็นวันเสาร์ที่ 26 เมษายน นัดกะลุงฉุยว่าจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดสังฆทาน โดยนัดเจอกันที่วัดสี่โมงเย็น สี่โมงก็ยังไปไม่ถึง เพราะรถติดลุงฉุยก็โทร.มาว่าอยู่ไหน ตอนนั้นลุงฉุยว่า ลงทะเบียนที่ใต้โบสถ์ กับเปลี่ยนชุดขาวเรียบร้อยแล้วนะ เราก็เออ เราก็รีบแล้ว เด๋วไปถึงวัดแล้วเราโทร.หานะ เพราะสัญญาณไม่ดีเลย ไปถึงวัดก็ประมาณบ่ายสี่โมงสิบห้า โทร.หาลุงฉุยก็ไม่ติด เวงกำ ต้องทำไงบ้างล่ะ ถามสิทีนี้ ถามท่านที่ใส่ชุดขาวบริเวณนั้น เมื่อกี้ลุงฉุยบอกว่า ต้องลงทะเบียนใต้โบสถ์ ตรงไหนหว่า สงสัยตรงที่เคยมาซื้อซีดี เพราะเราเคยมาแล้วสองครั้ง ลองถามคนที่มาบวชแถวนั้น เออ ใช่ตรงนั้นจริง ๆ ก็เลยรีบลงไป

มีคนมารอเข้าคิวกันหลายคน เราก็ถามว่าต้องทำยังไง เค้าถามว่า เคยมามั้ย ถ้าไม่เคย ก็ต้องกรอกใบสมัคร เราก็หยิบมากรอก อ้าว!!! หัวใบสมัครเขียนว่า ใบสมัครบวชเนกขัมมะ นี่นา ยังไงล่ะเนี่ย ตกลงมาบวชเหรอตรู ไม่ได้รู้เรื่องเล้ยยยย มีรายละเอียดให้ลงวันบวช วันสึกด้วย เราก็กรอกไปว่า บวชวันนี้ สึกพรุ่งนี้ ยื่นใบสมัครเสร็จ ก็ต้องให้บัตรประชาชนพร้อมรูปถ่ายด้วย เราไม่มีรูปถ่าย ก็มีกล้องดิจิตอลถ่ายให้ตรงนั้นเลย โห บริการดีจัง ตรงที่ลงทะเบียนเค้าจะเก็บบัตรประชาชนไว้นะคะ ต้องมารับคืนเช้าวันที่สึกซึ่งฝ่ายนี้จะเปิดบริการตอน 8 โมงเช้า แต่ถ้าท่านใดบวชหลายวัน ก็มารับได้ก่อนวันที่สึก 1 วันค่ะ

ลงทะเบียนเสร็จ วิ่งขึ้นมาจากใต้อุโบสถ เจอลุงฉุยพอดี ลุงฉุยเปลี่ยนชุดขาวเรียบร้อย ดูอิ่มบุญจังเนาะ เราต้องซื้อชุดขาว ลุงฉุยก็พาไปที่สหกรณ์ ก็สะดวกอีก มีตัวอย่างแขวนไว้ให้ลองขนาด เสร็จแล้วก็ไปบอกที่เคาน์เตอร์ เราก็ไปบอกว่าเราเอาเสื้อเบอร์นี้นะ ป้าถามว่า เอาผ้านุ่งมั้ย เราว่า ต้องใช้ไรมั่งล่ะคะ ป้าจัดมาเถอะค่ะ หนูไม่รู้ (อายมะเนี่ย) ป้าหยิบเสื้อมาให้ แล้วก็มาวัดเอว เราก็งง วัดทำไม แค่ผ้านุ่ง ป้าว่า แหม หนูหุ่นสูงดีจังยังกะนางแบบ (อิอิ เวงกำ) แล้วป้าก็หยิบผ้านุ่งมาให้ ป้าว่า ลองเลยนะ พอคลี่ออกมา โห เค้าเย็บมาเรียบร้อย ทำเป็นตะขอเกี่ยวไว้ด้วย ตอนแรกเราก็คิดว่าผ้านุ่งธรรมดา บอกจริง ๆ อ่ะ ว่า ก่อนมาก็กังวลเล็ก ๆ กะผ้านุ่งเนี่ยแหละ เพราะเรานุ่งไม่เป็นนะ กลัวหลุดหนะ สรุปชุดที่ซื้อมามี 4 ชิ้นค่ะ ผ้านุ่ง 180 บาท เสื้อ 100 บาท สไบ 50 บาท แล้วก็กระโปรงซับใน 50 บาท รวมเป็น 380 บาท ซื้อเสร็จก็รีบล่ะ ตอนนั้น บ่ายสี่โมงสี่สิบกว่าแล้ว ต้องวิ่งไปเปลี่ยนชุด แล้วต้องไปพร้อมกันที่ศาลาเพื่อบวชเวลาประมาณห้าโมงเย็น เราพักที่ศาลาธรรมะสว่างใจค่ะ ซึ่งต้องเดินไปอีกพอสมควรเลย เดินแทบจะวิ่งเลย

พอถึงศาลาธรรมะสว่างใจ เรารีบอ่านข้อปฏิบัติ อ้อ ต้องลงทะเบียนก่อน รีบไปลงทะเบียน ป้าที่รับลงทะเบียนถามว่า เพิ่งมาล่ะสิ รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย ถ้าคนที่เคยมาแล้ว เค้าจะรู้ ถ้ามาถึงเวลาเกือบห้าโมงเนี่ย เค้าจะไปที่ศาลาก่อน แล้วค่อยมาจัดการเรื่องเสื้อผ้า อ้าว...ไม่รู้นี่นา ก็รีบที่สุดแล้วกัน รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปเช่าล๊อกเกอร์เอาของเก็บ ค่าเช่าล๊อกเกอร์ 30 บาทค่ะ เอาไว้เก็บของมีค่าพวกกระเป๋าสตางค์ โทร. ของที่เราจะไม่ต้องใช้ตอนกลางคืน นอกนั้นพวกของใช้ส่วนตัวก็เอาไปวางหาที่นอนได้เลย หยิบหมอนได้เลยจากในตู้ค่ะ เราหาที่นอนได้แล้ว ตรงไหนก็ได้ เรานอนได้หมด เอาของวางแล้วก็รีบไปศาลาที่รับบวช ผ้านุ่งก็ยาว ทำให้เดินช้า ปกติเราเป็นคนเดินเร็วหนะค่ะ ก็ต้องรั้งผ้านุ่งขึ้นมาเพื่อให้เดินเร็วล่ะ เวงกำ ไม่ต้องสำรวมกันล่ะ อิอิ ระหว่างทางเดินไป โชคดีเดินไปทันป้ากะน้องคนนึงที่มาบวชเหมือนกัน ป้าก็ชี้ศาลาให้เรากะน้องคนนั้นไปรับบวช

ไปถึงที่ศาลา มีคนแต่งชุดขาวมาเยอะพอสมควรค่ะ เกือบร้อยล่ะมั้ง ผู้ชายจะนั่งแถวหน้าค่ะ ตอนนั้น คุณแม่ชีกำลังอธิบายข้อปฏิบัติต่าง ๆ ของวัด เรากะน้องคนนั้น (ทราบทีหลังว่าชื่อ น้องหยก อายุ 30 ปี) ก็รีบไปนั่งต่อแถวล่ะ

ประมาณ 6 โมงเย็น หลวงพ่อก็มา ให้อาราธนาศีลแปด รับบวช แล้วก็มีการฝึกการนั่งสมาธิเล็กน้อย การเข้าและออกสมาธิ เสร็จก็ประมาณ 1 ทุ่ม จากนั้นก็ต้องไปที่อุโบสถแก้ว เพื่อสวดมนต์ ทำวัตรเย็น เราก็ไม่รู้อีก เพราะเดินไปเอาขวดน้ำที่รถ เค้าก็ไปกันหมดแล้ว พอเดินจะกลับที่ศาลาธรรมะสว่างใจ ก็เจอกับน้องหยก บอกว่าเราต้องไปสวดมนต์ที่อุโบสถแก้ว

พอไปถึงอุโบสถแก้ว ท่านที่มาบวช และที่ไม่ได้บวชก็มากันเยอะแล้ว ก็ต้องหาที่ว่างเฉพาะตัวกันล่ะ ประมาณ 1 ทุ่ม ก็สวดทำวัตร จากนั้นก็นั่งสมาธิ จนถึงสี่ทุ่ม แต่ตอนที่เค้าปิดไฟเพื่อนั่งสมาธิ พอปิดไฟปุ๊บ ยุงมาปั๊บ เราอุตสาห์เตรียมโลชั่นทากันยุงไป ก็ไม่ได้ใช้ เพราะคิดว่าใช้เฉพาะตอนนอน ท่านใดที่จะไปแบบเรา ต้องทาก่อนนะคะ

คืนที่เราไปเป็นคืนวันเสาร์ ซึ่งจะมีพระอาจารย์มาเทศน์ทั้งคืน ฉะนั้น พอเสร็จจากสมาธิ ก็เหมือนการพักเพื่อให้เข้าห้องน้ำ และมาดื่มเครื่องดื่มที่ทางวัดจัดไว้ให้ มีสารพัดล่ะค่ะ เช่น น้ำมะตูม โอเลี้ยง โอวัลติน น้ำลำใย ฯลฯ ใส่คูลเลอร์ไว้ แต่เราไม่ดื่มหนะ เราไม่ชอบดื่มอะไรหวาน ๆ ตอนกลางคืน สักพักเราก็เข้าไปนั่งฟังพระเทศน์ ซึ่งตอนนั้น คนน้อยแล้ว เพราะกลับไปพักกันเยอะ ตอนแรกกะว่าจะนั่งฟังทั้งคืน แต่เราไม่รู้ว่าตอนเช้าจะต้องทำอะไรบ้าง แล้วมีงานที่ต้องกลับมาเคลียร์วันอาทิตย์ กลัวว่าวันอาทิตย์จะทำงานไม่ไหว ห้าทุ่มกว่าเลยกลับไปพักผ่อน ระหว่างทางเดินจากอุโบสถแก้วกลับศาลาธรรมะสว่างใจเนี่ยมืดดีจริง ๆ แล้วเดินกลับคนเดียวด้วยนะ เดินไปตาก็มองที่หมายอย่างเดียวล่ะ

ตีสาม ต้องตื่นแล้ว ไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกเลยค่ะ เพราะคนอื่น ๆ ก็ตื่นกัน รีบจัดการตัวเองแล้วต้องไปพร้อมกันที่อุโบสถแก้วเวลาตีสามครึ่ง เพื่อเริ่มทำวัตรเวลาตีสี่ แล้วก็นั่งสมาธิ จนถึงเวลาประมาณตีห้าครึ่ง หลังจากนั้น คนที่จะสึกวันนี้ พระท่านจะให้ไปนั่งที่หน้าหลวงพ่อโตเพื่อทำการสึกและรับศีลห้า พอสึกแล้ว ก็รู้สึกใจหายเหมือนกันนะ ไม่น่าเชื่อว่า การบวชแค่คืนเดียวจะทำให้รู้สึกได้ขนาดนี้ แต่เราก็ตั้งใจไว้แล้วว่าเราจะมาบวชอีกค่ะ

จากนั้นก็ไปใส่บาตร ที่วัดจะมีบริการจัดเป็นชุดไว้เลยค่ะ มาไหว้พระธาตุ แล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดธรรมดา อ้อ ต้องเอาของออกจากศาลาธรรมะสว่างใจก่อน 7 โมงเช้านะคะ เพราะเค้าจะล๊อคประตูค่ะ ท่านที่บวชต่อ ก็ไปพร้อมกันที่ลานเพื่อฝึกเดินจงกรม แต่เราก็ต้องมารอเพื่อรับบัตรประชาชนคืนตรงที่ลงทะเบียน ซึ่งหน่วยงานนี้จะทำงานเวลา 8 โมง ระหว่างรอก็ไปซื้อของทานล่ะ ที่วัดจะมีพวกผลไม้จากชาวบ้าน ซึ่งบอกว่าเป็นผลไม้จากสวนแถวนั้นมาขาย ราคาถูกกว่าตลาดแถมยังอร่อยกว่าซื้อที่ตลาดด้วย เพิ่ง 7.30 น.เอง ลงไปอ่านหนังสือตรงที่รอรับบัตรคืนดีกว่า

ทางวัดจะจัดเป็นมุมอ่านหนังสือไว้ให้ เราสะดุดตากับหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ "ขอบคุณนะ มะเร็ง" หยิบมาแล้ว ไม่มีเก้าอี้นั่ง ก็หามุมนั่งอ่านกับพื้นนั่นล่ะ แต่ยังอ่านไม่จบนะคะ เพราะเวลาอ่านน้อย สรุปว่า ผู้หญิงคนนี้ มีครอบครัวแล้ว มีลูก สามีต้องไปประจำที่ต่างจังหวัด แล้วเธอก็ตรวจพบมะเร็งเต้านม ระยะที่ 2 เธอตัดสินใจผ่าตัด และทำศัลยกรรมแผลที่ผ่าไปพร้อม ๆ กันโดยเอาไขมันหน้าท้องขึ้นมาเสริมทรวงอก เธอบอกว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเลย เพราะมันเจ็บมาก จากแผลที่ผ่าตัดถึงสองที่ในเวลาเดียวกันหลังจากผ่าตัดแล้ว เธอต้องรับเคมีบำบัดอีกสองอาทิตย์ต่อ 1 ครั้ง (อ่านไม่จบนะคะ ว่าสรุปแล้ว เธอต้องให้เคมีนานแค่ไหน) ซึ่งเธอมีอาการแพ้ อาเจียน ตัวร้อนผ่าว เบื่ออาหาร นอกจากนี้ ในหนังสือได้อธิบายเกี่ยวกับยาเคมีบำบัดไว้ สาระสำคัญคือ ในขณะที่เคมีบำบัดทำลายเซลล์มะเร็ง ก็จะทำลายเซลล์ดี ๆ ไปพร้อมกัน และทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำ ซึ่งประเด็นนี้เราต้องตระหนักและระวัง ฉะนั้นเราต้องดูแลเรื่องอาหาร ทานที่มีประโยชน์เพื่อช่วยเรื่องเซลล์ที่ถูกทำลาย และการพักผ่อนเพื่อคงปริมาณเม็ดเลือดขาวไว้ เธอบอกว่า เพราะมะเร็งเนี่ยแหละ ทำให้เธอกลับมาสนใจขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

เราว่า การเป็นที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ยังพอจะจัดการในเบื้องต้นได้โดยการผ่าตัดส่วนนั้นทิ้งเสียก่อน แล้วจึงควบคุมในขั้นต่อไป แต่เรานี่สิ ไม่รู้ว่าจะตัดตรงไหน เพราะมันอยู่ในเลือด ซึ่งกระจายอยู่ทุกส่วนของร่างกาย

เราอ่านไป ก็นึกถึงตัวเองไปด้วย สงสารผู้หญิงคนนี้จัง สงสารตัวเองด้วย ผู้หญิงคนนี้กลับมาสนใจธรรมะ ก็คงเหมือนเรา ถ้าไม่ใช่เพราะป่วย เราคงไม่ได้มาบวชในวันนี้ ไม่ได้มาสวดมนต์ในอุโบสถแก้ว ไม่ได้มานั่งอ่านหนังสือเล่มนี้...ที่นี่

บางทีวิถีของเราคงต้องเป็นแบบนี้ ตามกรรมที่เราได้ทำมา ก็ไม่เป็นไรนะ เวลาที่ยังเหลือ เราก็ขอสร้างกุศลเต็มกำลังที่เราจะทำได้ก็แล้วกัน อย่างที่เราบอกไงคะ ว่านี่อาจเป็นเวลาที่เหลือของเรา ที่จะสะสมบุญ อย่างน้อยเราคิดว่าเราคงมีบุญเก่าอยู่บ้าง เพราะเมื่อเรารู้ว่าป่วย แม้ว่าเราจะรู้สึกแย่มากในช่วงแรก แต่เราก็ไม่เคยท้อแท้ หมดอาลัยในชีวิตนะ อย่างน้อยสิ่งที่เรามองว่าเป็นบุญของเราคือเรามีสติ และมีปัญญา มองเห็นปัญหา และแสวงหาแนวทางแก้ปัญหาด้วยสติและปัญญาที่เราพอจะมีอยู่บ้าง โดยเฉพาะการใช้จัดการกับใจ ซึ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าร่างกายที่กำลังป่วยของเรามากนัก

กราบขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่ ที่ให้โอกาสเราได้เกิดมาภายใต้ร่มพระพุทธศาสนา เพื่อให้เราได้มีโอกาสในการสร้างกุศลกรรมต่อไป และขอบคุณสมาชิกทุกท่านในครอบครัวที่ให้เราได้บวช ขอบคุณมากมายสำหรับลุงฉุย ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเราในการที่ทำให้เราได้บวชครั้งแรกในชีวิต ลุงฉุยได้สร้างมหากุศลในชีวิตของลุงฉุยเลยล่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจจากทุกท่านและหลาน ๆ จากหนองบัวลำภู ขอแผ่บุญกุศลที่ได้ทำในครั้งนี้ให้ทุกท่านค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2551

มาตามนัด ฟังผลสแกน

4 เม.ย. 51 ตามกำหนดหมอนัดอีกล่ะ ไปเจาะเลือด แล้วมารอคิวเหมือนเดิม แต่วันนี้จะได้รู้ผลสแกนแล้ว วันนี้คนน้อยดีจัง เพราะเป็นวันหยุดยาว วันจักรีหนะ เราเลยได้คิวเร็วเลย 10 โมง ก็ได้พบหมอล่ะ พอไปถึงหน้าห้องหมอ พยาบาลให้ไปเอาผลสแกนอีก เสียเวลาอีกครึ่งชั่วโมง เวงกำ

สิบโมงครึ่ง ไปพบหมอ หมออ่านผลเลือดมีสีหน้ากังวลเล็กน้อยแล้วบอกว่า เกล็ดเลือดลงมากไป ดึงให้เม็ดเลือดขาวต่ำไปด้วย หมอว่า คราวนี้เกล็ดเลือดเหลือ 538,000 (เดิม 1,200,200) ส่วนเม็ดเลือดขาวต่ำมาก เหลือแค่ 2,800 (เดิม 4,200) ซึ่งเดิมต่ำกว่ามาตรฐานอยู่แล้ว มาตรฐานต้อง 4,500 ตอนนี้เหลือน้อยที่สุดตั้งแต่ป่วยมา

หมอบอกว่า ต้องลดยา hydrea ล่ะ เหลือแค่วันละเม็ด เพื่อให้เม็ดเลือดขาวขึ้นมากกว่านี้ ส่วนแอสไพริน ต้องกินต่อไป วันละเม็ด

ส่วนผลของการสแกน หมอบอกว่า จุดในตับไม่มีปัญหา แต่มดลูกโตนะ อ้าว...เวงกำ ไม่เป็นโน่น ก็เป็นนี่ หมอบอกว่า ดูอาการไปก่อน

มานั่งรอยา เบื่อมาก ๆ แล้วนะ กะที่เป็นเนี่ย นึกอยู่เหมือนกัน ว่าเม็ดเลือดขาวต้องต่ำแน่ เพราะอาการเจ็บลดลงแทบไม่เหลือ แสดงว่า เกล็ดเลือดต้องลง แล้วเม็ดเลือดขาวก็ต้องลงไปด้วย เพียงแต่ไม่คิดว่าจะต่ำมากขนาดนี้ เฮ้อออออ...

นั่งรถกลับบ้าน มันคุ้น ๆ นะ มดลูกโตนี่ สักพักก็นึกได้ เออ..แม่ก็เป็นนี่นา ตัดไปแล้ว รู้สึกว่า ตอนอายุประมาณเนี้ย อ่อ กรรมพันธุ์ซะอีก

สิ่งที่คิดถัดมาคือ ต้องจัดการเรื่องเม็ดเลือดขาวต่ำ ต้องระวังไม่ให้ติดเชื้อล่ะ ไม่งั้นแย่แน่ ไปไหนก็ต้องพกผ้าเช็ดหน้าล่ะ เลี่ยงที่ชุมชน ที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องไปไหนกันล่ะ อยู่แต่บ้าน กะไปทำงานก็พอ

กลับถึงบ้าน รู้สึกว่าใจมันนิ่งกว่าเดิมเยอะเลย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะหมอ หมอคนนี้ทำให้เราสบายใจขึ้นกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่เม็ดเลือดขาวไม่เคยต่ำขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่ หรืออาจเป็นเพราะทำใจไว้แล้วเพราะรู้ว่ามันต้องต่ำ

แต่อีกส่วนหนึ่งอาจมาจากเริ่มยอมรับกับโรคได้มากขึ้น ก็รู้จักกันมาเกือบปีล่ะ ไม่ให้ยอมรับกันได้ยังไง โดยเฉพาะน้องเกล็ดเลือดเนี่ย สนิทกันเป็นพิเศษเลย อาการเจ็บที่โคนเล็บนิ้วโป้งซ้ายที่เป็นมาสักสองสามเดือนก็ยังเป็นอยู่ตลอด พอเตือนให้รู้ว่ากำลังป่วยนะเนี่ย

นัดหน้าเจอกัน 13 มิ.ย. ครบปีล่ะนะ น้องเกล็ดเลือด แล้วยังนัดใกล้วันสำคัญเราซะด้วย แม๊...ยังงี้ต้องฉลองใหญ่

CT SCAN ประสบการณ์ใหม่

17 มี.ค. 51 ต้องทำสแกนล่ะ ตื่นเต้นดี เหมือนตอนต้องไปเจาะไขกระดูกเลย มันจะเป็นยังไงน้อ ไปแต่เช้าเลย รอคิว

วันนี้ไม่ต้องพบหมอค่ะ แค่มาสแกน แล้วรอฟังผลวันที่ 4 เม.ย. 51 เลย

นั่งสักพัก เจ้าหน้าที่การเงินก็เรียกไปเคลียร์ค่าใช้จ่าย เราไม่ต้องจ่ายค่ะ เพราะใช้สิทธิประกันสังคม และเป็นการสั่งตรวจโดยแพทย์ ถ้าต้องจ่ายก้อ 13,800 บาท

เจ้าหน้าที่การเงินถามว่า เราเป็นไร ทำไมต้องสแกน เราว่า เป็นเกล็ดเลือดสูง เค้าถามว่า เป็นยังไง ไม่เคยได้ยิน ได้ยินแต่เกล็ดเลือดสูง เราก็คิดในใจ เนี่ย คนทำงานโรงพยาบาลนะ ยังไม่เคยได้ยินแล้วเราจะเคยได้ยินมั้ยเนี่ย เจ้าหน้าที่ถามต่อว่า อาการเป็นยังไง เราเลยบอกไปแค่ว่า ถ้ามันมากเกิน ก็อุดตันตามปลายประสาท ทำให้เป็นอัมพฤต อัมพาต

มารอทำสแกนสักพักเจ้าหน้าที่ก็มาถึง (เราไปเช้าหนะค่ะ ยังไม่ถึงเวลางาน) เอาชุดมาให้เปลี่ยน แล้วเอาน้ำใส่เหยือกมาให้เราดื่ม 900 ซีซี โห ตายแน่ตรู เอ้า ดื่มก็ดื่ม สักครึ่งชม. พยาบาลบอกว่า ต้องเจาะเส้นเลือดเพื่อเดินยา

แล้วพยาบาลก็เรียกไปนั่งที่จัดไว้ให้ เอายางมารัด แล้วตีหาเส้นที่ข้อพับแขน ปรากฏว่า เส้นไม่ขึ้น เลยต้องมาเจาะที่ข้อมือ ปัญหาคือ เรากินยาแอสไพริน ซึ่งมันเป็นยาต้านเกล็ดเลือด จะทำให้เกล็ดเลือดไม่เกาะตัวกัน และเส้นเลือดขยาย พอเจาะเข้าไป เลือดมันก็ทะลักไหลลงมาตามข้อมือเลย พยาบาลร้อง ตายแล้ว เดี๋ยวนะคะ เลือดไหลเต็มเลย โห...พยาบาลยังร้องตายแล้ว แล้วเราล่ะ เวงกำแท้ๆ

พยาบาลบอกว่า เดี๋ยวนะคะ เช็ดเลือดก่อน ต้องรัดแน่น ๆ เฮ้ออออ...กว่าจะเสร็จ

พอเข้าไปในห้องสแกน ต้องดื่มน้ำอีก 250 ซีซี ตาย ๆ ดื่มก็ดื่ม

สักพัก พยาบาลคนเดิมมาอีกแล้ว บอกว่า ให้นอนตะแคง เพราะต้องเดินน้ำยาเข้าทางก้นด้วย โหยยยยชีวิต มีไรมากกว่านี้อีกมั้ย จัดมาเลยนะ

จากนั้น เจ้าหน้าที่ก็ออกจากห้องหมด ไปคอนโทรลที่ด้านนอก สั่งให้เราหายใจเข้าออกตามคำสั่งสแกน สักพักก็เดินยาเข้าข้อมือ สุดๆๆๆๆเลยอ่ะ ตอนแรกเจ้าหน้าที่ว่า ตอนเดินยาจะร้อนนิดหน่อยนะคะ ไม่ต้องตกใจ ก็ไม่ได้ตกใจนะ แต่ไม่คิดไง ว่ามันจะขนาดนี้ มันร้อนตั้งแต่หัวจรดเท้าหนะ แล้วกลิ่นยามันขึ้นจมูกแบบสุด ๆ เลย

เสร็จแล้ว ออกมานั่งมึนอยู่หน้าห้องคนเดียว คนที่รอต่อไป หลายคนก็มองเรา คงงงหนะ ยัยนี่มาทำสแกนได้ยังไง คนเดียว อิอิ

สักพัก พยาบาลมาถอดสายเดินยา แล้วบอกว่า จากนี้ให้ดื่มน้ำให้ได้ 2 ลิตร ภายใน 24 ชม. เพราะยาที่เดินจะตกค้างที่ไต โห...ดื่มน้ำ 2 ลิตรเนี่ยนะ ปกติเราเป็นคนดื่มน้ำน้อยมาก ซึ่งเป็นข้อเสียด้วย แต่นี่ต้องดื่มให้ได้ 2 ลิตร แล้วยังมีที่ดื่มเข้าไปก่อนทำอีกลิตรกว่า อยากบอกว่า ในชีวิต ไม่เคยดื่มน้ำมากขนาดนี้มาก่อนเลยจริง ๆ

กลับมาบ้าน พยายามดื่มมาก ๆ ถ้าใครไม่เคยดื่มน้ำจนจะอาเจียนนะ อยากให้ลองดู เป็นประสบการณ์ที่สุดยอดมากๆๆๆๆๆ กว่าจะดื่มครบ 2 ลิตร ปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่า เฮ้ออออ...

วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2551

โรงพยาบาลใหม่ พบหมอครั้งที่ 2

29 ก.พ. 51 ไปแต่เช้าอีกล่ะ ต้องเจาะเลือด แล้วก็รอผล แล้วก็พบหมอ ขั้นตอนตรงนี้ ชินแระ ตอนเย็นมีนัดกะสมาชิกห้องธรรม ไประยองกัน ต้องรีบล่ะวันนี้

แต่เหมือนแกล้งเนาะ วันนี้ระบบส่งผลเลือดห้องแล๊บมีปัญหา กว่าจะได้รู้ผล พบหมอ ปาเข้าไป 11 โมง กว่าจะรอยาอีก

ได้พบหมอ หมอว่า เกล็ดเลือดล้านสอง เม็ดเลือดขาว 4,200 ก็พอรู้อยู่ล่ะว่ามันขึ้นแน่ เพราะอาการเจ็บเริ่มมานิด ๆ ล่ะ ก็คราวที่แล้วหมอให้งด hydrea ทานแต่แอสไพริน ก็ต้องขึ้นแน่ล่ะ

หมอว่า ผลเลือดจากแล็บโรงพยาบาลรามาได้แล้ว ผลว่าเกล็ดเลือดเป็นเนื้องอก เออ เอาเข้าไป เกิดมาไม่เคยได้ยิน หมอว่า ให้เลี่ยงพวกถั่วเมล็ดแห้ง เครื่องในสัตว์

เรามีอาการข้อนิ้วโป้งขวาบวม หมอว่า เป็นอาการของโรคนี้อ่ะ คล้ายคนเป็นเก๊า ปวดตามข้อ ข้อบวม หมอถามว่า เคยทาน hydrea สูงสุดวันละกี่เม็ด เราเคยทาน 2 เม็ด เช้าเย็น หมอว่า งั้นให้ทานเช้าเย็นนะ เพราะเกล็ดเลือดสูงมาก แล้วทานแอสไพรินอีกวันละเม็ด เหมือนเดิม หมอว่า รอผลจากทำ CT SCAN วันที่ 17 มี.ค. อีกที ก็ชัดเจนล่ะ ว่าตัดประเด็นเรื่องตับได้หรือเปล่า

มานั่งรอยา เกิดอารมณ์เดิม ๆ หดหู่อีกล่ะ พอให้รู้ว่ายังเป็นคนเนอะ มีความรู้สึกหดหู่ได้ ไม่เป็นไร...ทุกข์ก็ให้รู้ว่าทุกข์ คิดก็ให้รู้ว่าคิด แต่อย่าไปติดกับมัน ไม่งั้นจิตตก นั่งรอยาก็พยายามคิดเรื่องอื่นไป คิดเรื่องจะได้ไปเที่ยวระยองดีกว่า ใจจะได้มีแรง

วันที่ 17 มี.ค. เจอกันนะ CT SCAN

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

เปลี่ยนโรงพยาบาลอีกแล้ว


หลังจากหาหมอครั้งที่แล้ว ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ไม่ใช่เพิ่งไม่สบายใจนะ แต่รู้สึกหลายครั้งแล้ว เลยตัดสินใจเปลี่ยนโรงพยาบาล แล้วก็เป็นช่วงเปลี่ยนโรงพยาบาลของประกันสังคมพอดี

แต่ช่วงที่รอเปลี่ยนไปอีกโรงพยาบาลที่ 3 เราก็ลองเอาเคสของเราไปคุยกับอาจารย์หมอโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งของกทม. เผื่อท่านจะสนใจศึกษาเคสของเรา ปรากฎว่า ท่านไม่สนใจศึกษาและโรงพยาบาลที่ท่านสังกัดก็ไม่รับคนไข้ประกันสังคมเพิ่มแล้ว มันน่าเศร้าเนอะ ที่ต้องเอาอาการป่วยของเราไปถามหมอว่าจะรับรักษาเรามั้ย แต่เราไม่สามารถจ่ายเงินสดได้นะ เรามีแต่ประกันสังคม

ก่อนที่เราจะมา รพ.ที่ 3 เราได้เข้าไปดูข้อมูล รพ. เพื่อดูว่า เราควรไปวันไหน เพื่อจะได้พบหมอเฉพาะทาง หรือจากโรคที่เป็นเราควรทำอย่างไรดี เราก็เลยเมลล์ไปคุยกะหมอที่ดูแลประกันสังคมของ รพ. โดยตรงเพื่อขอคำแนะนำ ซึ่งเราก็ไม่คาดว่า หมอจะตอบมาหรอก ปรากฎว่า เราได้รับเมลล์ตอบจากหมอ เราแทบไม่อยากเชื่อเลยนะ เราเมลล์กลับไปขอบคุณหมอที่ตอบเรา หมอยังตอบกลับมาว่า ถ้าได้มาที่ รพ. ให้แวะมาคุยกัน โหๆๆๆ ทำให้เรารู้สึกดีกับ รพ. นี้ตั้งแต่ยังไม่ไปเลย

วันนี้ 1 ก.พ. เราไปโรงพยาบาลที่ 3 ตามสิทธิประกันสังคม ก็ปฏิบัติตามขั้นตอนของโรงพยาบาล ทำบัตรเสร็จ ต้องไปที่แผนกตรวจคนไข้ประกันสังคม อยากจะบอกว่า ประกันสังคมที่นี่ดูแลดีมาก ๆ หมอที่ตรวจเราที่ประกันสังคมบอกว่า "ต้องส่งเราไปพบแพทย์เฉพาะทางนะ ไปที่อายุรกรรม ต้องรอนานนิดนึงนะ เพราะคนเยอะ" โห หมอพูดจาดีมาก ๆ พยาบาลก็พูดจาดีสุด ๆ

เราลงไปที่อายุรกรรม พยาบาลที่ฝ่ายคัดกรองให้เราไปเจาะเลือดเพื่อตรวจปริมาณเกร็ดเลือดก่อนพบหมอ เจาะเสร็จก็มานั่งรอ สักชั่วโมงก็ได้พบหมอล่ะ

หมอถามว่า เรารักษาอยู่อีกทีนึง ทำไมมาที่นี่ล่ะ เราก็ว่า เราเปลี่ยนประกันสังคมหนะ หมอก็อ่านเอกสารที่เราเอามา มีทั้งใบ refer มาจาก รพ.ที่ 1 ผลเลือดทุกเดือนจาก รพ.ที่ 2 หมออ่านสักพัก แล้วถามว่า ที่ รพ.เดิมดูเรื่องจุดในตับหรือยัง (เรามีจุดในตับซึ่งเจอพร้อมกับเกล็ดเลือดเนี่ยแหละค่ะ) เราก็บอกว่า ยัง แล้วที่เดิมทำไรมั่ง เราก็ว่า เจาะเลือดแล้วก็ให้ยา hydroxyurea หมอว่า คุณรู้มั้ย ว่ายาตัวนี้ ถ้าทานเป็นเวลานาน จะทำให้เป็นมะเร็ง เราว่า รู้แล้วเราเคยอ่านเจอเรื่องลูคีเมีย แต่หมอที่ รพ.1 บอกว่า ยังไม่มีงานวิจัยชัดเจนว่า เป็นเพราะยาหรือเป็นเพราะโรคที่ทำให้คนไข้เป็นลูคีเมีย แล้วหมอที่ รพ.1 กะ 2 ก็บอกเหมือนกันว่า โรคที่เราเป็นเนี่ย เป็นมะเร็งอย่างนึง หมอท่านนี้บอกว่า ใช่

หมอบอกว่า มียาอีกตัวนึง ที่ดีกว่าตัวนี้ แต่ค่อนข้างแพง เม็ดละ 150 บาท วันนึงต้องกิน 6 เม็ด โห ตายแน่ตรู กินยาวันละ 900 ซึ่งเราต้องจ่ายเอง เพราะยาตัวนี้ ไม่อยู่ในบัญชีประกันสังคม แล้วหมอก็สั่งให้ไปเจาะเลือดเพิ่มอีก (ฮ่วย) แล้วสั่งทำ CT SCAN อีก หมอบอกว่า คิดว่า จุดในตับไม่น่าเกี่ยวแล้วล่ะ เพราะถ้าเกี่ยว ป่านนี้อาการคุณต้องมีแล้วเพราะมัน 6 เดือนมาแล้ว

เราก็รับใบสั่งเจาะเลือด สั่งสแกน ไปดำเนินการ พอไปถึงห้องเจาะเลือด ต้องเจาะอีก 4 หลอด (เวง) แล้วหลอดใหญ่ด้วย ขนาดคนเจาะเลือดมารุมดูเรากัน 4 คนหนะ ว่าทำไมเจาะหลอดใหญ่ แล้วเจาะอีกหลายหลอด เพราะเราเพิ่งมาเจาะไปเมื่อเช้า ปรากฏว่า มีเลือดหลอดใหญ่ 2 หลอด ต้องส่งไปแลปอีก รพ.นึง ซึ่งเป็น รพ.ที่เราเคยไปคุยกะอาจารย์หมอนั่นแหละ แล้วอีก 2 หลอดตรวจที่นี่แหละ แต่ไม่รู้ว่าตรวจอะไร เพราะผลยังไม่ออก

เจาะเลือดเสร็จ วันนี้เจาะมันสองแขนเลย อิอิ แล้วไปจองคิวสแกน ได้เดือนมีนาคมอ่ะ

กลับมาหาหมอที่ห้องตรวจอีกที หมอนัดสิ้นเดือนนี้อีก แล้วสั่งงดยา hydroxyurea เพราะเม็ดเลือดขาวต่ำแล้ว เหลือแค่ 4000 ส่วนเรื่องเปลี่ยนยาไปทานอีกตัวนึง หมอว่า จะลองสั่งดูเผื่อได้ แต่เดือนนี้ให้งดก่อน ส่วนเอกสารประวัติการตรวจที่เราทำสำเนาไป หมอให้พยาบาลเก็บใส่แฟ้มไว้เลย ซึ่งหมอจาก รพ.เดิม ไม่ดูแม้แต่ใบ refer ด้วยซ้ำ

วันนี้กลับมาบ้าน รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย อย่างน้อยการที่หมอใส่ใจดูแลเรา ดูอาการที่เราเป็นสักหน่อย เราก็รู้สึกดีแล้วล่ะ.....