วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

เปลี่ยนโรงพยาบาล

สุดท้าย เราเลือกที่จะย้ายไปใช้โรงพยาบาลที่เราเลือกประกันสังคมไว้ เป็นโรงพยาบาลรัฐซึ่งไม่เคยไปใช้บริการเลย ก็ได้ใช้กันคราวนี้แหละ เราก็ไปทำใบ refer มาจากที่โรงพยาบาลเดิม

วันที่ 19 มิ.ย. 50 ไปโรงพยาบาลใหม่ ได้พบหมอเป็นผู้หญิง เราส่งใบ refer ให้หมอแล้วพยายามอธิบาย หมอก็ดูผ่าน ๆ แล้วว่า จะเจาะไขกระดูกเราใหม่ เราก็เออ เราเจาะมาแล้ว แต่ถ้าหมอจะเจาะก็เจาะ เจาะใหม่ เริ่มใหม่ก็ได้ หน้าตาเรามันคงกวนหนะ หมอเลยว่า เราต้องเชื่อหมอ หมอก็ผู้เชี่ยวชาญเหมือนกัน เพราะเราต้องเจอกันทุกเดือนแบบนี้ไปตลอด แล้วหมอก็ให้เราไปเจาะเลือด เพราะเราทาน hydrea มาเกือบ 3 อาทิตย์ล่ะ พอผลเลือดออกมา หมอเรียกเราเข้าไปคุย เกล็ดเลือดเราลดลงแล้ว จาก 1,488,000 เหลือ 969,000 หมอก็หน้าตาดีขึ้นมาหน่อย แล้วว่า เกล็ดเลือดเราลดแล้วนี่ เราเลยว่า ก็ลดสิคะ เพราะหมอที่โรงพยาบาลโน้นให้ยา หมอก็ว่า แล้วหมอที่โน่นเค้าคงบอกแล้วใช่มั้ยว่า เราเป็นมะเร็งชนิดหนึ่ง เราก็ว่า บอกแล้วค่ะ หมอถามว่า เราเจ็บปลายนิ้วมือและเท้าหรือเปล่า เราว่าเจ็บ หมอให้เรากดปลายนิ้วลงบนโต๊ะ แล้วหมอก็กดปลายนิ้วลงเหมือนกัน หมอเรียกให้เราดูที่ปลายนิ้ว หมอบอกว่า เห็นมั้ยว่า ปลายนิ้วของเราซีดไปตั้งแต่เล็บเลย ไม่เป็นสีชมพู ไม่เหมือนของหมอ หมอบอกว่า เป็นเพราะเกล็ดเลือดเริ่มไปอุดตามปลายเส้นเลือดที่มีขนาดเล็กมาก ๆ แล้ว เราก็เลยถามเรื่องอาหาร การดูแลตัวเอง หมอบอกว่า ให้ทานผักมาก ๆ งดเนื้อแดง แล้วหมอก็สั่ง hydrea ต่อเหมือนเดิม นัดอีก 1 เดือนเจอกัน

สิ่งที่ต้องคิดต่อไปคือ ต้องสู้กับโรคที่เป็น และใช้ชีวิตให้มีความสุขอย่างไรกับโรคที่เป็นอยู่ ตอนนี้สิ่งสำคัญก็คือ ใจ แล้วล่ะ อืมม ไม่เป็นไร น้องไขกระดูกทำงานดีเกินไปบ้าง ผลิตน้องเกล็ดเลือดจำนวนมากมาอยู่กับเราก็ไม่เป็นไร ก็อยู่ด้วยกัน แต่ต้องอยู่แบบเป็นมิตรต่อกัน ที่จะมามีอิทธิพลเหนือเราไม่ได้

กลับมาหาข้อมูลเพิ่มเติมอีก ว่ามีที่ไหนเค้าศึกษาไว้บ้างเกี่ยวกับโรคนี้ การจัดการเกี่ยวกับโรคนี้ ก็ไปเจองานวิจัยอยู่ไม่กี่ชิ้น เป็นของต่างประเทศ เลยสงสัยจังว่า ในประเทศไทยเค้าไม่ศึกษาเรื่องโรคนี้กันหรือยังไง เลยเริ่มให้ความสนใจกับแพทย์ทางเลือก ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพร ว่ามีตัวไหนที่ช่วยได้บ้าง ระหว่างนี้ก็ดูแลตัวเองเรื่องอาหาร ออกกำลังกาย แต่นั่งสมาธิเนี่ยยัง เพราะไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เลยเอาไว้ก่อน แล้วที่ยังรู้สึกดีอยู่บ้างคือ ยาที่กินมันได้ผล เกล็ดเลือดมันลดลง แค่ 3 อาทิตย์ ลงไปตั้งเยอะ ก็มาหาข้อมูลเพิ่มเรื่องยาอีก พบว่า ยาตัวนี้ เป็นยาในกลุ่มเคมีบำบัดที่ใช้รักษามะเร็งโดยทั่วไป (ข้อมูลจากเว็บโรงพยาบาลราชวิถี) ซึ่งยาตัวนี้มีผลข้างเคียงคือ ทำให้เกล็ดเลือดและเม็ดเลือดขาวลดลง ซึ่งหมายความว่า ยาที่เราทานอยู่ เราเอาผลข้างเคียงของยาตัวนี้มาลดปริมาณเกล็ดเลือด ฉะนั้นต่อจากนี้ การไปหาหมอ นอกจากที่เราจะสนใจปริมาณของเกล็ดเลือดแล้ว สิ่งสำคัญคือ ปริมาณเม็ดเลือดขาวด้วย นอกจากนี้ จากข้อมูลของโรงพยาบาลราชวิถีบอกอีกว่า "เนื่องจากเซลล์มะเร็งเป็นเซลล์ที่มีสรีระวิทยาของเซลล์ไม่แตกต่างจากเซลล์ร่างกายปกติ และยาเคมีบำบัดออกฤทธิ์ไม่จำเพาะต่อเซลล์มะเร็งเท่านั้น แต่ยังมีผลกับเซลล์ปกติของร่างกายในการแบ่งเซลล์ด้วย จึงมีผลทำให้เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ จากการใช้ยาเคมีบำบัดเช่น อาเจียน ผมร่วง และภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ" เราจึงเอา printed out ผลเลือดที่เราขอมาจากโรงพยาบาลหลังการตรวจทุกครั้งมาดู แล้วทำตารางบันทึกผลเลือดที่ผ่านมา พบว่า เม็ดเลือดขาวลดลงจริง ๆ จาก พ.ค. 8,100 , มิ.ย. 6,700 ซึ่งหมายความว่า การนัดเจาะเลือดทุกครั้งหลังจากนี้ เราต้องดูปริมาณเม็ดเลือดขาวด้วย นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจคือ ยาตัวนี้ไม่ได้ออกฤทธิ์ต่อเฉพาะเซลล์มะเร็งแต่มีผลถึงเซลล์ปกติด้วย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ายาที่ทานอยู่ทุกวันเนี่ย มันจะทำให้เซลล์ดี ๆ ของเราเป็นยังไง

วันที่ 10 ก.ค. 50 ไปตรวจอีกครั้ง คราวนี้หมอหน้าตาไม่ค่อยดีนัก บอกว่า หมอจะเปลี่ยนยาเป็น neurobion ทาน เช้า กลางวัน เย็น ครั้งละ 1 เม็ด เราก็สงสัย ทำไมต้องเปลี่ยน เพราะ neurobion มันไม่ใช่ยา แต่เป็นวิตามินบีรวม บำรุงปลายประสาท เพราะตัวนี้เราเคยกิน เราเลยถามหมอว่า เม็ดเลือดขาวเราลดใช่มั้ย หมอบอกว่าใช่ แล้วให้เราดูผลเลือด เม็ดเลือดขาวเราลดในเหลือ 6,000 จาก 6,700 (ปกติต้อง 5,000 - 10,000) ขณะที่เกล็ดเลือดก็ลดเหลือ 866,000 จากเดิม 969,000 ซึ่งลดน้อยมาก คราวนี้หมอนัดอีก 2 เดือน (อ้าว ไหนบอกจะเจอกันทุกเดือน) แถมมีทิ้งท้ายด้วยว่า ภายใน 2 เดือนนี้ เราอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปก่อนล่ะ เรามานั่งรอยา น้ำตาจะไหล กลั้นไว้เพราะอายคนอื่น พอกลับถึงบ้าน ร้องไห้เลย

หลังจากนั้นสองสามวัน ก็เข้าไปตั้งกระทู้ในเว็บพันทิปอีก เผื่อใครพอจะแนะนำอะไรได้บ้าง ก็ได้กำลังใจมาประปรายเท่านั้น

สิ่งที่เห็นชัดได้อีกอย่างหนึ่งคือ โคนเล็บนิ้วโป้งที่มือเราเริ่มเป็นสีม่วง เราเพิ่งเห็นในวันหนึ่งขณะที่เรากำลังเรียนหนังสือ เราแอบดูเล็บของคนอื่น ๆ ไม่มีใครเป็นเหมือนเราเลย นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องถามหมอในการนัดเจาะเลือดอีกครั้ง

อีกตั้ง 2 เดือนถึงจะได้เจอหมอ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดหลังจากหยุดยา hydrea คือ อาการเจ็บปลายเท้าเริ่มเป็นมากขึ้น บริเวณกว้างขึ้น บ่อยขึ้น บางคืนเจ็บจนตื่น ถ้าเป็นแบบนี้แย่แน่เลย สงสัยจะเป็นอะไรไปก่อนครบ 2 เดือนแน่ ๆ วันนั้น 7 ส.ค. 50 เราเกิดอาการปวดแขน ปวดมาก จนยกไม่ขึ้น เลยต้องไปหาหมอก่อน หมอก็ว่า ที่แขนไม่เป็นไรมาก แล้วให้เราไปเจาะเลือด ก็นับว่าโชคดีที่เราไปหาหมอเร็วกว่ากำหนด 1 เดือน เพราะเกล็ดเลือดขึ้นจากเดิม 866,000 เป็น 1,074,000 เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นมาแล้วอยู่ที่ 8,600 หมอเลยกลับมาสั่ง hydrea เหมือนเดิม ตอนนี้หมอสั่งเป็นวันละ 2 ครั้งเลย เราถามหมอถึงเรื่องที่โคนเล็บเป็นสีม่วง หมอบอกว่า เป็นปกติของคนเป็นโรคนี้....ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนปลงชีวิตนะ บอกไม่ถูก เพราะผลเกล็ดเลือดที่ออกมา ทำให้มั่นใจว่า ถ้าไม่ได้ทานยา เกล็ดเลือดก็จะเพิ่มปริมาณขึ้น ซึ่งหมายถึงว่า ต้องทานยาเพื่อกดปริมาณของเกล็ดเลือดไปตลอดที่ยังมีชีวิตอยู่ เศร้ามาก ๆ ……ถึงบ้านก็ร้องไห้อีก......

ไม่มีความคิดเห็น: