วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ตีสนิทกับความตาย

ก่อนวันที่จะไปตรวจร่างกาย พี่ทางธรรมท่านหนึ่งแวะมาหาที่ทำงาน แล้วให้หนังสือชื่อ "ตีสนิทกับความตาย" ของ พระอาจารย์มานพ อุปสโม วัดนายโรง กรุงเทพมหานคร เราเห็นชื่อแล้วก็โดนใจมาก พลิกอ่านด้านใน เป็นหนังสือที่มาได้จังหวะที่เรากำลังเตรียมตัวพอดี

วันที่ 7 ธ.ค. 50 ต้องไปตรวจเลือดอีก รีบไปแต่เช้าเลย ยื่นบัตรเสร็จก็รีบไปเจาะเลือดตั้งแต่ 7.30 น. แล้วรีบไปยื่นแฟ้มประวัติ ปกติผลเลือดเนี่ย ประมาณชั่วโมงนึง ก็ได้ผลแล้ว แต่วันนั้น 8.30 น. ผลก็ยังไม่ออกมา ผลเลือดของคนไข้คนอื่นที่มาหลังเรา ออนไลน์ผลมาที่พยาบาลหมดแล้ว เหลือของเราคนเดียวจริง ๆ ที่ผลยังไม่ออกมา จน 9.00 น. พยาบาลต้องโทร.ไปถามที่ lab ระหว่างรออยู่ เราสังหรณ์นะ สงสัยผลออกมาไม่ดีอีกแล้วแน่ ๆ สักพักนึง พยาบาลมาบอกว่าผลออกแล้ว ให้เราไปพบหมอได้เลย ได้รู้ซะที

สังหรณ์เราแม่นยำอีกแล้ว ผลที่ออกมา ยาที่ทานไปตลอด 1 เดือน ทำให้เม็ดเลือดขาวหล่นไปเหลือแค่ 4000 จาก 4500 ซึ่งคนปกติต้องอยู่ที่ 5000 - 10000 ในขณะที่เกล็ดเลือดลงไปน้อยมาก ๆ จากเดิม 983,000 เป็น 945,000 หมอบอกว่า จะบูมไม๊ (อ๊าว จะรู้มั้ยล่ะคะหมอ) หมอบอกว่า ม้ามโตนะ เราถามหมอว่าจะให้ทาน hydrea เพิ่มเป็นสองมื้อมั้ย หมอว่าเพิ่มไม่ได้ เพราะเม็ดเลือดขาวเหลือน้อยเกินไป หมอว่า ให้ทานหัวกะทิวันละ 3 ช้อนโต๊ะ เพื่อช่วยเรื่อง organ

มานั่งรอยาอีกตึกนึง รู้สึกแย่มาก ๆ แล้วตอนนั้น กลั้นน้ำตาสุด ๆ จนกลับมาถึงบ้าน นั่งร้องไห้ ร้องจนปวดหัว แต่ไม่อยากกินยาแล้ว รู้สึกว่า ตัวเองกินยาเยอะเกิน ในตัวมียามากเกินไป แล้วเป็นยาอันตรายด้วย เลยพยายามที่จะไม่กินยาอื่น ๆ ถ้าไม่จำเป็น

ตอนเย็นมีนัดไปดูหนังเรื่อง พระพุทธเจ้า กับสมาชิกห้องธรรม ยังคิดอยู่จะไปดีมั้ย แต่ถ้าไม่ไป คงยิ่งแย่ เลยตัดสินใจไปดีกว่า ก็คิดถูกนะที่ไป เพราะการได้ไปเจอกับพี่ ๆ เพื่อน ๆ ก็ดีกว่าอยู่กับตัวเองมากเกินไป

กลับถึงบ้าน 5 ทุ่มกว่า อาบน้ำเสร็จก็เกือบเที่ยงคืน กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว คิดมาก นอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าหลับไปตอนกี่โมง ไม่ได้ดูนาฬิกาครั้งสุดท้าย รู้แต่ว่า กว่าจะหลับ นานมาก รู้สึกเหนื่อยจัง เหนื่อยที่ต้องไปหาหมอ เจาะเลือด เบื่อกินยาทุกวัน

วันนึง คงไม่เหนื่อย คงหายเบื่อเสียที...

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

"ตาย" "บุญ" และ "กรรม" คำที่นึกถึง

คำว่า "ตาย" เป็นคำที่ห่างไกลจากความคิดเรามาก อาจจะมีแว่บเข้ามาในความคิดคำนึงบ้าง เมื่อมีเรื่องชวนให้คิด เช่น ไปงานศพ หรือดูภาพยนตร์ แต่จะให้มานั่งคิดว่า วันหนึ่งเราคงต้องตาย เราไม่คิดถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาเรามีความสุขดี อาจมีปัญหาเข้ามาในชีวิตบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่ไม่มีอะไรที่เราจัดการไม่ได้ เมื่อเราสามารถจัดการกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวได้มาตลอด มันทำให้เรามั่นใจเกินไป ทะนงในตัวเอง พอถึงวันที่เรามารู้ว่า ยังมีสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา ซึ่งเราจัดการไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่มันอยู่ในร่างกายของเรา แต่เรากลับควบคุมมันไม่ได้ แล้วมันยังต้องอยู่กับเราตลอดไป จนตายไปด้วยกัน มันทำให้เรารู้สึกแย่มาก ๆ ความมั่นใจทั้งหมดที่มี มันเหือดหายไป คืนนั้น เป็นครั้งแรกที่คิดถึงคำว่า "ตาย" อย่างจริงจัง

วันที่รู้ว่าตัวเองป่วย ความรู้สึกแรกคือ งง ทบทวนอยู่หลายครั้ง ว่าเรื่องจริงหรือเปล่า แล้วก็เริ่มสับสนกับตัวเอง เหมือนยังตั้งหลักไม่ได้ ใจหนึ่งก็อยากร้องไห้ให้มันสาแก่ใจไปเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่ยอมให้ร้องไห้ ด้วยนิสัยที่มั่นใจว่าจัดการทุกอย่างได้ ฉะนั้นต้องไม่ร้องไห้ โดยเฉพาะที่บ้าน แล้วที่สำคัญ ไม่อยากให้คนรอบข้างรู้สึกทุกข์ไปกับเรา แต่ต้องยอมรับว่าเราแอบร้องไห้หลายครั้ง

สิ่งสำคัญที่ต้องจัดการก่อนคือ ใจ ต้องให้ใจมีแรงที่จะสู้ก่อน ใจนี่บางวันก็สู้ดี ประมาณว่า เป็นไงเป็นกัน บางวันใจก็รู้สึกแย่ ต้องปลุกต้องกระตุ้นให้สู้อยู่เรื่อย เลยต้องหาวิธีจัดการกับใจตัวเองก่อนเป็นอับดับแรก ต้องหาวิธีคิดให้ตัวเองสบายใจขึ้น เมื่อเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้ว สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือ เปลี่ยนมุมมองให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขขึ้น งั้นก็คิดว่าสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่เป็น "กรรม" ของเราเองก็แล้วกัน เมื่อเป็น "กรรม" ของเรา ก็ขอชดใช้ให้หมดในชาตินี้ และก็อาจถึงเวลาสะสมบุญก่อนตาย "กรรมเก่า จะชดใช้ บุญใหม่ จะทำ"

เราหันมาอ่านธรรมะ ฝึกสมาธิ ทำให้เราสบายใจขึ้น การคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็น "กรรม" ทำให้เรายอมรับความเจ็บป่วยและสามารถเผชิญได้มากขึ้น การคิดเรื่อง "บุญ" ในทัศนของเรา เราว่าเป็นเรื่องของการให้ มีความสุขกับการให้ ไม่ใช่เฉพาะการให้ที่เป็นวัตถุ สิ่งของ ที่มองเห็นเป็นรูปธรรม แต่รวมถึง การให้อภัย ให้ความเมตตา ให้โอกาส ฯลฯ ให้สิ่งที่มองไม่เห็นเป็นรูปธรรม แต่เมื่อเราให้แล้ว เราจะได้รับความสุขใจ ฉะนั้นสิ่งที่เราสะสม คือ สะสมความสุขใจ

เราคิดว่าความสุขใจที่เรากำลังสะสม เป็นเสมือนน้ำที่หล่อเลี้ยง ทำให้เรามีแรงใจที่จะสู้ต่อไป

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

เพิ่มชนิดของยา

9 พ.ย. 50 ไปเจาะเลือดตามกำหนด ก็เป็นไปตามคาด คือ เกล็ดเลือดเพิ่มขึ้นเป็น 983,000 จากเดิม 640,000 แต่สิ่งที่ผิดคาดคราวนี้ก็คือ จำนวนเม็ดเลือดขาวกลับลดลง จากเดิม 5,500 ตอนนี้เหลือ 4,500 หมอเลยเพิ่มยาแอสไพรินให้ทานตอนเช้าทุกวันอีกวันละ 1 เม็ด หมอว่า เพื่อช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว แล้วเราก็ไปอ่านเพิ่มเติมในเว็บ พบว่า แอสไพรินยังช่วยให้เกล็ดเลือดไม่เกาะกลุ่มกัน ซึ่งคราวนี้คงช่วยเรื่องการอุดตันที่เส้นเลือดเล็ก ๆ ได้ดีขึ้น ช่วงนี้อาการเจ็บปลายเท้าหรือนิ้วมือน้อยมาก ตอนนี้เราทานน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวแบบแคปซูล ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่มด้วยวันละ 2 เม็ด เช้า-เย็น ตามคำแนะนำของหมอ เราเข้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตัวนี้ พบว่า ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็ง แล้วยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลด้วย ซึ่งตรงนี้เราคิดว่า คงช่วยปัญหาเรื่องเลือดของเราได้ส่วนหนึ่ง เพราะตอนที่เราไปตรวรร่างกาย ระดับคลอเลสเตอรอลเราอยู่ที่ประมาณ 240 ซึ่งหมออายุกรรมที่โรงพยาบาลนั้นก็ต้องการให้เราดูแลเรื่องอาหารเพื่อลดระดับคลอเลสเตอรอลลงเพื่อช่วยเรื่องเลือดอีกทางหนึ่ง เราเลยคิดว่า ถ้าไปเจาะเลือดต่อ ๆ ไป คงจะขอให้หมอสั่งตรวจระดับคลอเลสเตอรอลด้วย นัดครั้งต่อไป วันที่ 7 ธ.ค. 50

ดูแลอาหาร ออกกำลัง นั่งสมาธิ

เรารู้สึกแย่อยู่หลายวัน แล้วก็มาคิดว่า จะมามัวแย่อยู่ไม่ได้แล้ว ทั้งงานทั้งเรียน ไม่เป็นอันทำเลย หาข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพรที่พอจะรักษาโรคนี้ได้ ก็ไม่ได้ข้อมูลเลย สุดท้ายก็มานึกถึงที่พี่หมอเคยบอกไว้ว่า "ดูแลเรื่องอาหาร ออกกำลัง นั่งสมาธิ" 2 อย่างแรก เราพยายามจัดการอยู่ แต่นั่งสมาธิเนี่ย เราจะเริ่มจากตรงไหน เราเป็นคนพุทธที่ห่างวัดมาก ๆ ในชีวิตเชื่อเรื่อง การทำดี ไม่เบียดเบียนใคร คิดว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ชีวิตมีความสุขแล้ว พอถึงวันหนึ่ง ที่จะมานั่งสมาธิ มันเหมือนเป็นเรื่องใหม่ในชีวิตเราเลย

ปลายเดือนสิงหาคม มีงานมหกรรมสมุนไพรที่อิมแพค เป็นงานที่เราตั้งใจไปเลยล่ะ เพราะเราหาข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพรทางเน็ตไม่ได้เลย พอเราได้รู้ข่าวงานสมุนไพรนี้ เราถึงได้ตั้งใจมาก เราไปถึงที่งานตั้งแต่ตอนสาย ๆ งานใหญ่ดีนะ เราเดินดูทุกบูธที่มีข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพร ได้รับเอกสารที่แจกมาเยอะมาก บางบูธที่ไม่มีเอกสารเราก็ยืนอ่าน เผื่อจะเจอสมุนไพรเกี่ยวกับโรคที่เราเป็นบ้าง แต่ไม่มีเลย ไม่มีสมุนไพรอะไรที่เกี่ยวกับโรคของเราเลย โรคของเรามันคงมีคนเป็นกันน้อยจริง ๆ ตอนก่อนไป ก็ไปอย่างมีความหวัง แต่พอไปแล้ว ยิ่งเดินไป ความหวังมันยิ่งริบหรี่ลงไปทุกที อารมณ์ตอนนั้นมันอยากร้องไห้มาก ๆ

วันที่ 10 ก.ย. 50 ไปเจาะเลือดอีกเหมือนเดิม เราคาดว่าเกล็ดเลือดต้องลดลงแน่ ๆ เพราะอาการเจ็บปลายเท้าและนิ้วมือลดลง ซึ่งหมายถึงว่า เม็ดเลือดขาวจะต้องลดลงด้วย อันเป็นผลมาจากการทานยาวันละ 2 ครั้ง แล้วก็เป็นไปตามที่เราคาดไว้ เกล็ดเลือดลดลงเหลือ 649,000 จากเดิม 1,074000 ส่วนเม็ดเลือดขาวเหลือ 5,500 จากเดิม 8,600 ซึ่งผลจากการลดลงของเกล็ดเลือดทำให้หมอรู้สึกพอใจมาก หมอเลยสั่งลดยาลง เหลือแค่วันละครั้งเหมือนเดิม หมออธิบายว่า ก็ต้องเพิ่มและลดยาไปตามปริมาณแบบนี้ไปตลอด แล้วหมอก็นัดอีก 2 เดือนถัดมา

ช่วงนี้ เป็นช่วงที่เราเรียนหนัก เริ่มนอนน้อยลงเพราะต้องทำรายงาน อ่านหนังสือเยอะมาก สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ อาการเจ็บปลายเท้าและนิ้วมือกลับมาอีก และบ่อยขึ้น ทำให้เรารู้เลยว่า ไปตรวจคราวนี้ ปริมาณเกล็ดเลือดต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน สิ่งที่สังเกตเพิ่มขึ้นคือ โคนเล็บนิ้วโป้งเท้าทั้ง 2 ข้างเริ่มเป็นสีม่วงเหมือนที่มือแล้ว และที่ตั้งใจว่าจะฝึกสมาธิก็ต้องเลื่อนออกไปก่อนเพราะการบ้านเยอะมาก

เปลี่ยนโรงพยาบาล

สุดท้าย เราเลือกที่จะย้ายไปใช้โรงพยาบาลที่เราเลือกประกันสังคมไว้ เป็นโรงพยาบาลรัฐซึ่งไม่เคยไปใช้บริการเลย ก็ได้ใช้กันคราวนี้แหละ เราก็ไปทำใบ refer มาจากที่โรงพยาบาลเดิม

วันที่ 19 มิ.ย. 50 ไปโรงพยาบาลใหม่ ได้พบหมอเป็นผู้หญิง เราส่งใบ refer ให้หมอแล้วพยายามอธิบาย หมอก็ดูผ่าน ๆ แล้วว่า จะเจาะไขกระดูกเราใหม่ เราก็เออ เราเจาะมาแล้ว แต่ถ้าหมอจะเจาะก็เจาะ เจาะใหม่ เริ่มใหม่ก็ได้ หน้าตาเรามันคงกวนหนะ หมอเลยว่า เราต้องเชื่อหมอ หมอก็ผู้เชี่ยวชาญเหมือนกัน เพราะเราต้องเจอกันทุกเดือนแบบนี้ไปตลอด แล้วหมอก็ให้เราไปเจาะเลือด เพราะเราทาน hydrea มาเกือบ 3 อาทิตย์ล่ะ พอผลเลือดออกมา หมอเรียกเราเข้าไปคุย เกล็ดเลือดเราลดลงแล้ว จาก 1,488,000 เหลือ 969,000 หมอก็หน้าตาดีขึ้นมาหน่อย แล้วว่า เกล็ดเลือดเราลดแล้วนี่ เราเลยว่า ก็ลดสิคะ เพราะหมอที่โรงพยาบาลโน้นให้ยา หมอก็ว่า แล้วหมอที่โน่นเค้าคงบอกแล้วใช่มั้ยว่า เราเป็นมะเร็งชนิดหนึ่ง เราก็ว่า บอกแล้วค่ะ หมอถามว่า เราเจ็บปลายนิ้วมือและเท้าหรือเปล่า เราว่าเจ็บ หมอให้เรากดปลายนิ้วลงบนโต๊ะ แล้วหมอก็กดปลายนิ้วลงเหมือนกัน หมอเรียกให้เราดูที่ปลายนิ้ว หมอบอกว่า เห็นมั้ยว่า ปลายนิ้วของเราซีดไปตั้งแต่เล็บเลย ไม่เป็นสีชมพู ไม่เหมือนของหมอ หมอบอกว่า เป็นเพราะเกล็ดเลือดเริ่มไปอุดตามปลายเส้นเลือดที่มีขนาดเล็กมาก ๆ แล้ว เราก็เลยถามเรื่องอาหาร การดูแลตัวเอง หมอบอกว่า ให้ทานผักมาก ๆ งดเนื้อแดง แล้วหมอก็สั่ง hydrea ต่อเหมือนเดิม นัดอีก 1 เดือนเจอกัน

สิ่งที่ต้องคิดต่อไปคือ ต้องสู้กับโรคที่เป็น และใช้ชีวิตให้มีความสุขอย่างไรกับโรคที่เป็นอยู่ ตอนนี้สิ่งสำคัญก็คือ ใจ แล้วล่ะ อืมม ไม่เป็นไร น้องไขกระดูกทำงานดีเกินไปบ้าง ผลิตน้องเกล็ดเลือดจำนวนมากมาอยู่กับเราก็ไม่เป็นไร ก็อยู่ด้วยกัน แต่ต้องอยู่แบบเป็นมิตรต่อกัน ที่จะมามีอิทธิพลเหนือเราไม่ได้

กลับมาหาข้อมูลเพิ่มเติมอีก ว่ามีที่ไหนเค้าศึกษาไว้บ้างเกี่ยวกับโรคนี้ การจัดการเกี่ยวกับโรคนี้ ก็ไปเจองานวิจัยอยู่ไม่กี่ชิ้น เป็นของต่างประเทศ เลยสงสัยจังว่า ในประเทศไทยเค้าไม่ศึกษาเรื่องโรคนี้กันหรือยังไง เลยเริ่มให้ความสนใจกับแพทย์ทางเลือก ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพร ว่ามีตัวไหนที่ช่วยได้บ้าง ระหว่างนี้ก็ดูแลตัวเองเรื่องอาหาร ออกกำลังกาย แต่นั่งสมาธิเนี่ยยัง เพราะไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เลยเอาไว้ก่อน แล้วที่ยังรู้สึกดีอยู่บ้างคือ ยาที่กินมันได้ผล เกล็ดเลือดมันลดลง แค่ 3 อาทิตย์ ลงไปตั้งเยอะ ก็มาหาข้อมูลเพิ่มเรื่องยาอีก พบว่า ยาตัวนี้ เป็นยาในกลุ่มเคมีบำบัดที่ใช้รักษามะเร็งโดยทั่วไป (ข้อมูลจากเว็บโรงพยาบาลราชวิถี) ซึ่งยาตัวนี้มีผลข้างเคียงคือ ทำให้เกล็ดเลือดและเม็ดเลือดขาวลดลง ซึ่งหมายความว่า ยาที่เราทานอยู่ เราเอาผลข้างเคียงของยาตัวนี้มาลดปริมาณเกล็ดเลือด ฉะนั้นต่อจากนี้ การไปหาหมอ นอกจากที่เราจะสนใจปริมาณของเกล็ดเลือดแล้ว สิ่งสำคัญคือ ปริมาณเม็ดเลือดขาวด้วย นอกจากนี้ จากข้อมูลของโรงพยาบาลราชวิถีบอกอีกว่า "เนื่องจากเซลล์มะเร็งเป็นเซลล์ที่มีสรีระวิทยาของเซลล์ไม่แตกต่างจากเซลล์ร่างกายปกติ และยาเคมีบำบัดออกฤทธิ์ไม่จำเพาะต่อเซลล์มะเร็งเท่านั้น แต่ยังมีผลกับเซลล์ปกติของร่างกายในการแบ่งเซลล์ด้วย จึงมีผลทำให้เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ จากการใช้ยาเคมีบำบัดเช่น อาเจียน ผมร่วง และภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ" เราจึงเอา printed out ผลเลือดที่เราขอมาจากโรงพยาบาลหลังการตรวจทุกครั้งมาดู แล้วทำตารางบันทึกผลเลือดที่ผ่านมา พบว่า เม็ดเลือดขาวลดลงจริง ๆ จาก พ.ค. 8,100 , มิ.ย. 6,700 ซึ่งหมายความว่า การนัดเจาะเลือดทุกครั้งหลังจากนี้ เราต้องดูปริมาณเม็ดเลือดขาวด้วย นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจคือ ยาตัวนี้ไม่ได้ออกฤทธิ์ต่อเฉพาะเซลล์มะเร็งแต่มีผลถึงเซลล์ปกติด้วย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ายาที่ทานอยู่ทุกวันเนี่ย มันจะทำให้เซลล์ดี ๆ ของเราเป็นยังไง

วันที่ 10 ก.ค. 50 ไปตรวจอีกครั้ง คราวนี้หมอหน้าตาไม่ค่อยดีนัก บอกว่า หมอจะเปลี่ยนยาเป็น neurobion ทาน เช้า กลางวัน เย็น ครั้งละ 1 เม็ด เราก็สงสัย ทำไมต้องเปลี่ยน เพราะ neurobion มันไม่ใช่ยา แต่เป็นวิตามินบีรวม บำรุงปลายประสาท เพราะตัวนี้เราเคยกิน เราเลยถามหมอว่า เม็ดเลือดขาวเราลดใช่มั้ย หมอบอกว่าใช่ แล้วให้เราดูผลเลือด เม็ดเลือดขาวเราลดในเหลือ 6,000 จาก 6,700 (ปกติต้อง 5,000 - 10,000) ขณะที่เกล็ดเลือดก็ลดเหลือ 866,000 จากเดิม 969,000 ซึ่งลดน้อยมาก คราวนี้หมอนัดอีก 2 เดือน (อ้าว ไหนบอกจะเจอกันทุกเดือน) แถมมีทิ้งท้ายด้วยว่า ภายใน 2 เดือนนี้ เราอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปก่อนล่ะ เรามานั่งรอยา น้ำตาจะไหล กลั้นไว้เพราะอายคนอื่น พอกลับถึงบ้าน ร้องไห้เลย

หลังจากนั้นสองสามวัน ก็เข้าไปตั้งกระทู้ในเว็บพันทิปอีก เผื่อใครพอจะแนะนำอะไรได้บ้าง ก็ได้กำลังใจมาประปรายเท่านั้น

สิ่งที่เห็นชัดได้อีกอย่างหนึ่งคือ โคนเล็บนิ้วโป้งที่มือเราเริ่มเป็นสีม่วง เราเพิ่งเห็นในวันหนึ่งขณะที่เรากำลังเรียนหนังสือ เราแอบดูเล็บของคนอื่น ๆ ไม่มีใครเป็นเหมือนเราเลย นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องถามหมอในการนัดเจาะเลือดอีกครั้ง

อีกตั้ง 2 เดือนถึงจะได้เจอหมอ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดหลังจากหยุดยา hydrea คือ อาการเจ็บปลายเท้าเริ่มเป็นมากขึ้น บริเวณกว้างขึ้น บ่อยขึ้น บางคืนเจ็บจนตื่น ถ้าเป็นแบบนี้แย่แน่เลย สงสัยจะเป็นอะไรไปก่อนครบ 2 เดือนแน่ ๆ วันนั้น 7 ส.ค. 50 เราเกิดอาการปวดแขน ปวดมาก จนยกไม่ขึ้น เลยต้องไปหาหมอก่อน หมอก็ว่า ที่แขนไม่เป็นไรมาก แล้วให้เราไปเจาะเลือด ก็นับว่าโชคดีที่เราไปหาหมอเร็วกว่ากำหนด 1 เดือน เพราะเกล็ดเลือดขึ้นจากเดิม 866,000 เป็น 1,074,000 เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นมาแล้วอยู่ที่ 8,600 หมอเลยกลับมาสั่ง hydrea เหมือนเดิม ตอนนี้หมอสั่งเป็นวันละ 2 ครั้งเลย เราถามหมอถึงเรื่องที่โคนเล็บเป็นสีม่วง หมอบอกว่า เป็นปกติของคนเป็นโรคนี้....ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนปลงชีวิตนะ บอกไม่ถูก เพราะผลเกล็ดเลือดที่ออกมา ทำให้มั่นใจว่า ถ้าไม่ได้ทานยา เกล็ดเลือดก็จะเพิ่มปริมาณขึ้น ซึ่งหมายถึงว่า ต้องทานยาเพื่อกดปริมาณของเกล็ดเลือดไปตลอดที่ยังมีชีวิตอยู่ เศร้ามาก ๆ ……ถึงบ้านก็ร้องไห้อีก......

ไม่เคยคิด

เราเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงดี ไม่ค่อยเจ็บป่วย อาการปวดหัวตัวร้อน หรือเป็นไข้หวัดใน 1 ปีนับครั้งได้เลยนะคะ ชอบเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันก็ออกกำลังกายด้วยการวิ่งบ้าง และสิ่งที่เราทำเป็นประจำทุกปี คือ การตรวจสุขภาพประจำปี ดังนั้น ปีนี้เราก็ปฏิบัติเหมือนที่ผ่านมา เมื่อวันพุธที่ 29 พ.ค. 50 เราไปตรวจร่างกายประจำปีที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง

เราก็ไปแต่เช้าเหมือนเดิม ในใจก็คิดว่า รีบ ๆ ไปจัดการให้เสร็จจะได้รีบ ๆ กลับ แต่ก็ยังต้องใช้เวลาพอสมควร กว่าจะกลับมาให้หมออายุรกรรมอ่านผลตรวจก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมงกว่า พอเข้าไปนั่งฟังผลตรวจ หมอบอกว่า เกล็ดเลือดเราสูงมากกว่าปกติ ถามเราว่า เราอยู่รอพบหมอเลือดก่อนได้มั้ย หมอเลือดจะมาประมาณ 6 โมงเย็นแล้วอาจต้องเจาะไขกระดูกด้วย หมอบอกว่า เกล็ดเลือดเราสูงถึงเกือบล้านห้า ซึ่งคนปกติจะต้องไม่เกินสี่แสนห้า แล้วระหว่างที่รอหมอเลือด หมอจะต้องให้ lab เช็คเพิ่มเติมจากเลือดที่เจาะไปเมื่อเช้า เราก็คิดว่าเออเป็นไรหว่า นึกว่าจะได้รีบกลับบ้าน แต่ให้รอหมอเลือดก็รอ ไม่อยากต้องมาอีกรอบ แล้วหมอก็ดูประวัติย้อนหลัง พบว่า เรามาตรวจสุขภาพที่นี่เมื่อปี 48 เกล็ดเลือดเราอยู่ที่ประมาณ 600,000 หมอบันทึกไว้ว่า เกล็ดเลือดสูงกว่าปกติ แต่เมื่อปี 49 เราไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง เพราะมีเหตุจำเป็นเล็กน้อย ทำให้ไม่ได้กลับมาตรวจที่นี่ หมอบอกว่า ให้เราเอาบันทึกการตรวจของที่นั่น แล้วมาพบหมออีกครั้ง เราก็รับคำแล้วก็ออกไปนั่งรอหมอเลือด ระหว่างรอก็นั่งคุยโทร.กับเล่นเน็ตไปเรื่อย พอดีเราเอา note book ไปด้วยค่ะ ตั้งใจว่า หาหมอแล้วจะเข้าไปที่ มศว (เราเรียนปริญญาเอกอยู่ วันนั้นนัดน้องไปทำรายงานกันตอนเที่ยง) โชคดีที่โรงพยาบาลมีสัญญาณ wireless ตอนแรกกะว่าจะนั่งทำงานระหว่างรอ ปรากฎว่า เจอสัญญาณ wireless เลยไม่ทำงานล่ะ เล่นเน็ตดีกว่า

สักห้าโมงเย็น ก็เห็นหมออายุรกรรม เดินไปมา ดูหมอยุ่งจังน้อ สักพักหมอก็มาเรียกเรา บอกว่า ส่งผลไปตรวจเพิ่มอยู่นะ ให้เรารอผลสักครู่ เรายังบอกหมอว่า "แหม ขึ้นมาตั้งล้านห้า ถ้าเป็นเงินก็ดีสิคะ รวยเลย" แล้วเราก็หัวเราะ แต่หมอไม่ยักหัวเราะ แค่ยิ้ม ๆ แล้วหมอก็เดินไป เราก็กลับมานั่งคุยโทร.ต่อ ในใจตอนนั้นไม่ได้คิดว่าเป็นอะไรมากมาย

อีกสักพัก หมอมาเรียกอีกแล้ว คราวนี้ผลตรวจเลือดเพิ่มเติมออกมาแล้ว หมอบอกว่า ส่งไปตรวจค่าของมะเร็ง ปรากฎว่า ไม่พบ (เฮ้อ ค่อยยังชั่ว) แต่จากการพบจุดขาว ๆ ในตับ หมออยากให้ตรวจเช็คให้ละเอียดอีกครั้ง แล้วหมอก็นัดหมอเฉพาะทางให้เราเอาฟิล์มไปพบวันหลัง

ประมาณเกือบหกโมงหมอเลือดก็มา เรียกเราเข้าไปคุย หมอว่า เกล็ดเลือดเราสูงมากกว่าคนปกติ คนปกติต้องเท่านี้นะ (อันนี้เรารู้แล้วล่ะ เพราะหมออายุรกรรมบอกแล้ว) หมอถามว่า เจ็บปลายนิ้วมือนิ้วเท้ามั้ย เราว่า ใช่ เราเจ็บ ตอนที่เจ็บยังแปลกใจอยู่ว่าเป็นอะไร หมอถามว่าเจ็บมานานหรือยัง เราว่า เริ่มเจ็บเมื่อประมาณเดือนนึงแล้วล่ะ หมอถามว่า ปวดข้อมั้ย เราว่า ไม่ค่อยอ่ะค่ะ หมอเลือดบอกต่อว่า อาจเป็น SLE นะ แต่ถ้าให้ชัดเจนก็ต้องเจาะไขกระดูกเพื่อวินิจฉัยว่าเป็นอะไรแน่ เราเคยได้ยินมาว่า เจาะไขกระดูกมันน่ากลัวแล้วก็เจ็บมาก แต่อารมณ์ตอนนั้นมันเหมือน เป็นไงเป็นกันบวกกับอยากรู้ด้วย เราบอกหมอเลยว่า เจาะเลยค่ะเจาะเดี๋ยวนี้เลยมั้ย หมอบอกว่า เอาไว้ค่อยนัดมาเจาะอีกที นัดเป็นวันศุกร์แล้วกัน เราก็โอเคตามนั้น ยังถามหมออีก ว่าวันเจาะไขกระดูกมาคนเดียวได้มั้ย หมอเลือดบอกว่า คุณไม่มีญาติพี่น้องเลยเหรอ เอาใครมาเป็นเพื่อนสักคนดีกว่า เราบอกหมอว่า เราเกรงใจ เค้าต้องทำงาน แค่เราเจาะไขกระดูกเอง หมอยังยืนยันว่า ให้เอาใครมาเป็นเพื่อนสักคนดีกว่า หมอบอกว่า อยากได้ประวัติการตรวจร่างกายปีที่แล้วเหมือนกัน กลับมาถึงบ้าน รีบหาบันทึกประวัติการตรวจของปีที่แล้ว ที่เราไปตรวจกับโรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งโชคดีที่เราเก็บไว้ ปรากฎว่า เกล็ดเลือดปี 49 สูงถึง 997,000 แต่ท้ายเล่มหมอเขียนว่าปกติ

จากนั้นก็ หาข้อมูลเกี่ยวกับ SLE ตอนนั้นก็เริ่มใจไม่ค่อยดีแล้ว เพราะเรารู้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องโรคนี้มาบ้าง เรารู้จักในชื่อโรคว่า โรคพุ่มพวง เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง หลังจากเสร็จภารกิจส่วนตัวก็ตั้งหน้าตั้งตาหาข้อมูลเลย หาไปเรื่อย ๆ เราว่า เราไม่น่าเป็นโรคนี้ เพราะโรคนี้ต้องเกล็ดเลือดต่ำ แต่เราเกล็ดเลือดสูง เราเลยเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ หาข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่มีเกล็ดเลือดสูง ปรากฎว่ามีข้อมูลน้อยมาก น้อยจริง ๆ จนเราคิดแบบขำ ๆ ว่า สงสัยเราต้องเป็นคนพิเศษแน่ ๆ คนพิเศษอย่างเราจะเป็นโรคแบบธรรมดาที่คนอื่นเค้าเป็นกันได้ยังไง เราต้องเป็นโรคที่พิเศษสิ ถึงจะสมที่เป็นเรา เมื่อหาข้อมูลไม่ได้ เราเลยลองเข้าไปตั้งกระทู้ในพันทิป เผื่อจะมีใครที่พอให้คำตอบเราได้บ้าง ก็มีคนมาให้กำลังใจบ้าง แต่ไม่มีใครให้คำตอบเราได้เลย

พอถึงวันหมอเลือดนัดเจาะไขกระดูก ตื่นเต้นนะ วันนี้จะได้เจาะไขกระดูกแล้ว ได้รู้ซะทีว่า เป็นอะไรหลังจากที่อยู่กับคำถามว่า เราเป็นอะไรแน่มาเกือบสองวัน ถ้าถามว่ากลัวการเจาะไขกระดูกมั้ย ตอบเลยว่า ลึก ๆ ก็กลัวนะ แต่กลัวก็ต้องเจาะ ไม่กลัวก็ต้องเจาะ เลยไม่รู้ว่าจะกลัวทำไม แล้วถ้ามัวแต่กลัวก็จะไม่รู้ว่าเป็นอะไร คือ ความอยากรู้มันมากจนกลบความกลัวหมด

ถึงโรงพยาบาล แหม หมอเลือดมาตรงเวลาดีแท้ บริเวณที่หมอเจาะคือ กระดูกสะโพกบนด้านซ้าย หมอเจาะเอง ก็เจ็บดีนะตอนเจาะ แต่พอหลังจากเจาะนี่สิ มันเหมือนขาซ้ายไม่ค่อยมีแรง เหมือนมันร้าวทั้งขา ก็เป็นประสบการณ์หนึ่งในชีวิตนะ เสร็จแล้วก็มานั่งรอผล ระหว่างรอ นั่งเล่นเน็ตไปด้วย คลายเครียด สักพักพยาบาลก็มาเรียกให้ไปพบหมอ ได้รู้ซะทีละว้อย

หมอท่าทางเคร่งขรึมดี มีเอกสารในมือหมอหลายแผ่นอยู่ เราเอาประวัติการตรวจปีที่แล้วมาให้หมอด้วย หมอบอกว่า เราเป็นโรคเกล็ดเลือดสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ บอกชื่อโรคเป็นภาษาอังกฤษมาด้วย (เราก็นึกในใจมันมีด้วยเหรอโรคนี้ แล้วถ้าหมอยังไม่ทราบสาเหตุ แล้วเราจะรู้มั้ยเนี่ย อ่ะ ฟังหมอต่อ) เกิดจากการทำงานผิดปกติของไขกระดูก ซึ่งสร้างเกล็ดเลือดมากเกินไป โรคนี้คนเป็นน้อยมาก ในหนึ่งปีหมอพบไม่เกิน 2 ราย (นั่น เราว่าแล้ว เราต้องเป็นแบบพิเศษ เป็นแบบธรรมดาเหมือนคนอื่นได้ยังไง) ไม่เป็นในคนอายุน้อย มักพบในคนอายุ 50 ปีขึ้นไป (เราอายุ 40 ปีค่ะ) ยังไม่มียารักษาโดยตรง เป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้ และต้องกินยาเพื่อควบคุมเกล็ดเลือดและต้องมาเจาะเลือดเพื่อดูปริมาณเกล็ดเลือดไปตลอดชีวิต จะบอกว่า เป็นมะเร็งชนิดหนึ่งก็ได้ (โห หูอื้อแล้วอ่ะ นาทีนั้น) รู้ตัวแต่ว่า ต้องยิ้มสู้ล่ะ ยิ้มแล้วตั้งสติ ตั้งใจฟังด้วย เดี๋ยวไม่รู้เรื่อง หมอบอกต่อว่า มียา 3 ตัว ที่ใช้กับโรคนี้

ยาตัวแรกเป็นยาฉีด เกล็ดเลือดจะลดลงทันที แต่มีผลข้างเคียงคือ จะปวดตัวมากเหมือนเป็นไข้ มีคนที่เลือกรักษาด้วยยาตัวนี้ แต่ทนผลข้างเคียงไม่ไหวเลยเลิกไป ค่าใช้จ่ายอยู่ที่เดือนละ 100,000 บาท (แต่เราคิดในใจว่า ที่ไม่ไหวสงสัยจะเป็นเดือนละแสนเนี่ยแหละ)

ยาตัวที่สอง ราคาไม่สูงมาก เป็นยาเม็ดแคปซูล ซึ่งจะทำให้เกล็ดเลือดค่อย ๆ ลดลง แต่ก็มีผู้ป่วยด้วยโรคนี้และกินยาตัวนี้ ต่อมาเป็นลูคีเมีย ซึ่งยังไม่มีงานวิจัยที่สรุปได้ชัดเจนว่า เป็นผลจากยาตัวนี้หรือเป็นเพราะโรคที่พัฒนาต่อ จึงทำให้เป็นลูคีเมีย

ยาตัวที่สาม เป็นยาเม็ดเหมือนกัน แต่ต้องสั่งจากอเมริกา ราคาสูงเหมือนกัน ขั้นตอนการสั่งค่อนข้างยุ่งยาก เพราะไม่มีตัวแทนในประเทศไทย

สรุปแล้ว หมอให้เราเลือกว่าเราจะใช้ยาตัวไหน แต่ยาตัวที่สาม หมอไม่แนะนำ เพราะยุ่งยากในการสั่งซื้อ งั้นตัดไปเลยตัวที่สาม ก็เหลือตัวแรกกับตัวที่สอง ซึ่งตัวแรกเราไม่ไหวแน่ ๆ ไม่ใช่เพราะผลข้างเคียงของยา แต่เราจนตายก่อนตายเพราะโรค เลยสรุปที่ ยาตัวที่สอง นัดอีกครั้งคือ อีก 3 อาทิตย์มาเจอกันเพื่อเจาะเลือด

สุดท้าย หมอบอกว่า ไม่ต้องถามหมอนะว่าอยู่ได้อีกกี่ปี ถ้าดูแลตัวเองดี ๆ ก็อยู่ได้เป็นสิบปี บางทีคนที่แข็งแรงกว่ายังตายก่อน (โห หมอให้กำลังใจน่าดูเลย) เราถามว่า ต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษมั้ย เช่นเรื่องอาหาร หมอบอกว่า ทานได้ทุกอย่าง ไม่มีปัญหา ที่ต้องระวังคือ ปริมาณเกล็ดเลือดที่สูง อาจไปอุดตันปลายประสาท ซึ่งเป็นเหตุให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ได้

ระหว่างทางกลับบ้าน คิดทบทวนสิ่งที่หมอพูดทุกอย่างอีกหลายรอบ ขาก็เริ่มปวดมากขึ้น กลับเข้าบ้านก่อน ทานข้าวกลางวันเสร็จ ตอนนั้นคิดว่าถ้าอยู่บ้าน ต้องคิดมาก ฟุ้งซ่านแน่ ๆ มาที่ทำงานดีกว่า เลยขับรถมาทำงานอีก รถเราเป็นเกียร์ธรรมดาอ่ะ เวลาเปลี่ยนเกียร์ทีก็ทรมานขาซ้ายดี ยังอุตสาห์ขับมาได้ถึงที่ทำงาน ระหว่างขับรถมา น้ำตาพาลจะไหล แต่กลั้นไว้ก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวมองถนนไม่เห็น จะพาลตายเพราะรถชนไม่ได้ตายเพราะโรค

มาถึงที่ทำงานก็ไปเล่าให้พี่ตุ่น ซึ่งเป็นพี่ที่เรารักและเคารพมาก ๆ ฟัง เราก็คิดถูกนะที่ไม่อยู่บ้าน เพราะเวลานั้นถ้าอยู่บ้านคนเดียวคงคิดมาก มาที่ทำงานได้คุยกัน มันเหมือนทำให้เราผ่อนคลายด้วย

วันเสาร์ อยู่บ้านทั้งวัน เราไม่ได้เตรียมสอน ก็เลยนั่งหาข้อมูลจากเน็ตไปเรื่อย วันนั้นทั้งวัน ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคที่เป็น จนประมาณสี่ทุ่ม เราเอาชื่อยาที่หมอให้มาหาในเน็ต เราเป็นคนชอบหาข้อมูลค่ะ เป็นพวกอยากรู้ สงสัยไปหมด เวลาหาหมอ หมอให้ยา เราจะหาข้อมูลประจำ ว่ามันคือยาอะไร เพื่อศึกษาอย่างละเอียด ปรากฎว่า ยาที่หมอให้มา hydrea เราไปเจอข้อมูลว่า hydroxyurea, is a chemotherapy drug that is given as a treatment for some types of cancer. It is used to treat a type of leukaemia known as chronic myeloid leukaemia, cancer of the cervix and some pre-cancerous conditions. เราอ่านอยู่หลายเว็บ สรุปก็คือ เป็นยาที่ใช้ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง เรารีบโทร.หาสามีพี่แป้น (พี่แป้น เป็นพี่ที่ทำงานเรา ที่เรารักและเคารพมากเช่นกัน สามีพี่แป้นเป็นหมอ) ว่ายาที่เราได้รับมาคืออะไร เราเป็นอะไรแน่ เราอ่านข้อมูลจากเน็ตแล้ว พี่หมอบอกว่า มันเป็นยายับยั้งเซลล์มะเร็งจริง พี่เค้าให้คำแนะนำในเบื้องต้นว่า ตอนนี้ให้เราดูแลเรื่องอาหาร ออกกำลัง แล้วก็นั่งสมาธิ

ตกลงเราเป็นอะไรแน่ จากยาที่ให้กิน หมอเลือดบอกว่า เป็นโรคเกล็ดเลือดสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ จัดเป็นมะเร็งอย่างหนึ่ง ซึ่งน้ำเสียงของหมอเหมือนไม่ใช่เรื่องซีเรียส แล้วก็บอกเราว่าไม่ต้องกังวล ยาที่ให้เป็นยาลดเกล็ดเลือด แต่ข้อมูลจากยาที่เราได้อ่ะ เป็นใคร ใครจะไม่กังวล คืนนั้นเลยนั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็งโดยเฉพาะ หาจนถึงเกือบตีสอง นั่งหาไป น้ำตาไหลไป สุดท้ายนอนดีกว่า นอนก็ไม่หลับอีก.....

คิดไปสารพัด แต่สิ่งที่ต้องคิดหนักคือ ถ้าเป็นอย่างที่หมอบอกว่า โรคนี้รักษาไม่หาย ต้องกินยาแบบนี้ไปตลอด และต้องเจาะเลือดทุกเดือน ถ้ายังรักษาโรงพยาบาลเอกชน สงสัยหมดตัวตายก่อนเป็นโรคตาย เลยต้องคิดล่ะ ว่าจะเอายังไงดี ฉะนั้น ต้องย้ายโรงพยาบาล ทีนี้ก็ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงพยาบาลรัฐที่จะดูแลเราจากโรคนี้ได้จนกว่าเราจะตาย เราเลยปรึกษาพี่ตุ่น กับพี่แป้น พี่สองท่านก็เป็นธุระหาข้อมูลเพิ่มเติมให้ และให้คำแนะนำอีกหลายอย่างและพร้อมให้ความช่วยเหลือถ้าจะย้ายโรงพยาบาลด้วย

บันทึกปริมาณเกล็ดเลือดและเม็ดเลือดขาว

PLATELETS เป็นชิ้นส่วนของเม็ดเลือดแดง มีขนาดเล็กกว่าเม็ดเลือดแดงมาก ในเลือด 1 หยด จะมีเม็ดเลือดแดง 5,000,000 เซลล์ มีเกล็ดเลือดประมาณ 140,000 - 450,000 ชิ้น มีความสำคัญในการแข็งตัวของเลือดเมื่อมีแผลเพื่อป้องกันการเสียเลือดมากเกินไป (http://www.thailabonline.com/sec31platelet-thrombocytosis.htm)

WBC (White Blood Cell Count) หรือ ปริมาณเม็ดเลือดขาวทุกชนิด ในเลือดรวมกัน ค่าปกติ จะอยู่ ประมาณ 5000-10000 cell/ml (http://www.elib-online.com/doctors3/gen_lab01.html)


พ.ค. 48 ปริมาณเกล็ดเลือด 600,000 ไม่ทราบปริมาณเม็ดเลือดขาว

23 พ.ค. 49 ปริมาณเกล็ดเลือด 997,000 ปริมาณเม็ดเลือดขาว 4,500

29 พ.ค. 50 ปริมาณเกล็ดเลือด 1,488,000 ปริมาณเม็ดเลือดขาว 8,100

19 มิ.ย. 50 ปริมาณเกล็ดเลือด 969,000 ปริมาณเม็ดเลือดขาว 6,700

10 ก.ค. 50 ปริมาณเกล็ดเลือด 866,000 ปริมาณเม็ดเลือดขาว 6,000

07 ส.ค. 50 ปริมาณเกล็ดเลือด 1,074,000 ปริมาณเม็ดเลือดขาว 8,600

10 ก.ย. 50 ปริมาณเกล็ดเลือด 649,000 ปริมาณเม็ดเลือดขาว 5,500

09 พ.ย. 50 ปริมาณเกล็ดเลือด 983,000 ปริมาณเม็ดเลือดขาว 4,500

07 ธ.ค. 50 ปริมาณเกล็ดเลือด 945,000 ปริมาณเม็ดเลือดขาว 4,000

01 ก.พ. 51 ปริมาณเกล็ดเลือด 900,000 ปริมาณเม็ดเลือดขาว 4,000

29 ก.พ. 51 ปริมาณเกล็ดเลือด 1,200,000 ปริมาณเม็ดเลือดขาว 4,200

04 เม.ย. 51 ปริมาณเกล็ดเลือด 538,000 ปริมาณเม็ดเลือดขาว 2,800

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ถ้าวันหนึ่งคุณรู้ว่า คุณเป็นโรคที่ไม่มีวันหายและไม่มียารักษา



เคยคิดมั้ยคะ ว่าวันหนึ่งคุณจะได้รับรู้ว่าคุณกำลังป่วยด้วยโรคที่มีคนเป็นน้อยมากบนโลกใบนี้ เป็นโรคที่ไม่มีวันหาย และไม่มียารักษา ทำได้เพียงแค่ทานยาเพื่อกดอาการของโรคเอาไว้เพื่อไม่ให้เป็นมากมายไปกว่านี้ ต้องไปหาหมอทุกเดือนเพื่อเจาะเลือด เพื่อให้หมอสั่งยาว่าเดือนต่อไปจะเพิ่มหรือลดปริมาณยา หรือจะให้เพิ่มหรือลดชนิดของยา เพื่อรักษาปริมาณของเกล็ดเลือดและเม็ดเลือดขาวให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปกติให้ได้มากที่สุด เรากำลังพูดถึงโรคที่เรากำลังเป็นอยู่ โรคเกล็ดเลือดสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ (Essential Thrombocythemia , Essential Thrombocytosis หรือ ET)


เว็บบอร์ด โรคเกล็ดเลือดสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ http://et.it-2u.com/